เอเวอร์แกรนด์เสี่ยงซ้ำรอยต้มยำกุ้ง อนุสรณ์แนะ ธปท.ลดดอกเบี้ยเหลือ 0-0.10%

20 ก.ย. 2564 | 01:49 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2564 | 15:03 น.

อนุสรณ์ชี้เอเวอร์แกรนด์ (Evergrande) เสี่ยงซ้ำรอยวิกฤติต้มยำกุ้งในไทย ไม่ใช่วิกฤติสินเชื่อซับไพร์มในสหรัฐอเมริกา ชี้ผลกระทบต่อการลงทุนและตลาดการเงินไทยมีจำกัด แนะ ธปท.ลดดอกเบี้ยเหลือ 0-0.10%

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยถึงกรณีการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ของบริษัทเอเวอร์แกรนด์ (Evergrande) ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีนว่า เป็นสัญญาณสำคัญเตือนว่า เศรษฐกิจจีนกำลังเดินหน้าซ้ำรอยวิกฤติต้มยำกุ้งในไทยเมื่อปี พ.ศ. 2540-2542 หรือไม่ ไม่ได้เป็นแบบวิกฤติสินเชื่อซับไพร์มในสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2551-2552 แต่อย่างใด ค่อนข้างชัดเจนว่า ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์รายนี้ คงไม่สามารถชำระดอกเบี้ยจากหนี้จำนวนมหาศาลให้กับนักลงทุนในจีนและนักลงทุนทั่วโลกได้ในวันที่ 23 กันยายนจำนวน 83.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศ และ คงไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยอีก 47.5 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 29 กันยายนนี้ 
ทั้งนี้ หนี้ที่ต้องชำระเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหนี้สินทั้งหมดของเครือข่ายบริษัทเอเวอร์แกรนด์ที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 305,000 ล้านดอลลาร์ คำนวณได้ 2% ของจีดีพีของประเทศจีน หากเทียบกับหนี้สินรวมของเครือข่ายบริษัทนี้มีขนาดใหญ่เกือบ 2 ใน 3 ของรายได้ประชาชาติของไทย เศรษฐกิจการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศจีนจะชะลอตัวลงจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ทางการจีนได้ปล่อยเงินเข้ามาในระบบเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามสู่วิกฤติระบบการเงิน โดยอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบสูงถึง 4.5 แสนล้านบาท หรือ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (9 หมื่นกว่าล้านหยวน) ราคาหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ปรับฐานลงมานับจากต้นปีลงมาแล้วกว่า 80% 

และราคาพันธบัตรของบริษัทก็กลายเป็น พันธบัตรขยะ หรือ Junk Bond ไปแล้ว มีมูลค่าลดลงต่ำสุดเหลือ 40 เซนต์ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดการเงิน มองว่า บริษัทนี้ไม่สามารถชำระหนี้ที่มีอยู่อย่างมหาศาลได้อย่างแน่นอน การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินของทางการจีนเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขไม่ให้ปัญหาของเอเวอร์แกรนด์ลุกลามสู่ความเสี่ยงเชิงระบบต่อภาคการเงิน (Financial Systematic Risks)น่าจะช่วยประคับประคองตลาดการเงินโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ไม่ให้ตื่นตระหนกได้บ้าง 
อย่างไรก็ดี ผลกระทบได้เกิดขึ้นในตลาดพันธบัตรเอเชียแล้ว มีเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรเอเชียรวมทั้งไทยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา หนี้สินทั้งหมดของบริษัทเอเวอร์แกรนด์นั้นเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินทั้งที่เป็นธนาคารและไม่ใช่ธนาคารทั้งในจีนและทั่วโลกโดยเฉพาะในเอเชียประมาณ 249 แห่ง และ แต่ละแห่งก็คงเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้อย่างแน่นอน การบริหารจัดการเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลายและฟื้นฟูกิจการน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่ไม่ก่อให้เกิดจริยวิบัติ (Moral Hazard) ขึ้นมาในระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงิน และไม่ขัดแย้งกับแนวทางการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ อีกด้านหนึ่งเป็นการลดความตื่นตระหนกของตลาดการเงิน ผลกระทบต่อสถาบันการเงินและประชาชน

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทางการจีนด้วยมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว การล้มละลายของ Evergrande จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินจีนไม่น้อย สถาบันการเงินและเจ้าหนี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แม้ว่าสถาบันขนาดใหญ่ในจีนหลายแห่งจะมีการกันสำรองหนี้เสียและลดการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเอเวอร์แกรนด์ตั้งแต่ปีที่แล้วก็ตาม แต่ความเสียหายอาจมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และกรณีของเอเวอร์แกรนด์อาจเป็นเพียงส่วนเดียวของฟองสบู่และการเก็งกำไรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ พฤติกรรมการลงทุนเกินตัวและก่อหนี้เกินตัวของธุรกิจใหญ่ของจีน ซึ่งกำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แตกซ้ำรอยวิกฤตการณ์เศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 

ยอนุสรณ์ ธรรมใจ
ปัญหาผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ โควิด-19 (Covid-19) ทำให้ปัญหาวิกฤติที่ซ่อนอยู่ในระบบเศรษฐกิจจีนเผยโฉมออกมาเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่จีนมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแกร่ง มีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก มีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ต่ำ รวมทั้ง การวางแผนเศรษฐกิจากส่วนกลางที่มีคุณภาพพร้อมกับการปรับแต่งระบบเศรษฐกิจแบบตลาดให้มีความเป็นธรรม สิ่งต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้วิกฤตการณ์หนี้สินในจีนครั้งนี้ ไม่ลุกลามและรุนแรงเท่าวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง
อย่างไรก็ตาม แม้มองว่า ปัญหาหนี้สินของบริษัทเอเวอร์แกรนด์รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆกำลังจะติดตามมาจะไม่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจในเอเชียก็ตาม แต่คาดว่าจะส่งผลต่อความผันผวนต่อตลาดการเงินในระยะนี้ และน่าจะทำให้เงินไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ของเอเชียต่อเนื่อง กดดันให้เงินสกุลเอเชียรวมทั้งเงินบาทอ่อนค่าลง โดยทิศทางค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าทะลุระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้ เมื่อเสริมเข้ากับดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มอาจติดลบในปีนี้โดยในไตรมาสแรกปี 2564 ดุลบัญชีเงินสะพัดขาดดุลแล้ว 2.6 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าในไตรมาสสองและสามจะยังคงขาดดุลต่อเนื่อง ดุลการค้าเกินดุลลดลง คาดว่าปีนี้ดุลบัญชีเงินทุนมีเงินไหลออกสุทธิไม่ต่ำกว่า 3-4 พันล้านดอลลาร์ โดยมีทั้งการไหลออกของเงินลงทุนโดยตรงและการลงทุนในหลักทรัพย์ในตลาดการเงิน ปีที่แล้วเงินทุนไหลออกสุทธิประมาณ -3.59 พันล้านดอลลาร์ อัตราการค้าปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากราคานำเข้าสินค้าเพิ่มสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาส่งออก และตอนนี้ต้องไปสำรวจว่า มีกองทุนและสถาบันการเงินของไทยไปลงทุนหรือปล่อยกู้ให้กับบริษัทเอเวอร์แกรนด์หรือบริษัทอื่นๆที่มีความเสี่ยงในการผิดนำระหนี้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ผลกระทบต่อการลงทุนและตลาดการเงินไทยอยู่ในวงจำกัด คงสร้าง Sentiment ที่เป็นลบต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และตลาดการเงินะระยะหนึ่งเท่านั้น ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงินไม่ได้กระทบอะไรมากนัก และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยส่วนใหญ่ก็ชะลอการลงทุนหลังปัญหา Covid-19 และ มาตรการ LTV ของแบงก์ชาติในช่วงสองปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว การเก็งกำไรและเศรษฐกิจฟองสบู่ได้ถูกกำกับดูแลไประดับหนึ่งแล้ว ส่วนที่จะมีปัญหาน่าจะเป็น กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางหรือขนาดเล็กโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว นอกจากนี้โครงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายที่หวังกำลังซื้อจากจีนนั้นคงหวังมากไม่ได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้
"ในการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินช่วงปลายเดือนนี้จึงขอเสนอให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธปท. พิจารณาอย่างจริงจังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหลือ 0% หรืออย่างน้อยต้องลดลงให้เหลือ 0.10% เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและตลาดการเงิน"
มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆที่จะมีการปรับฐานครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเอเชียบางตลาดจากการลดลงของสภาพคล่องในระบบ ราคาหุ้นที่แพงเกินไปกว่าปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการและโครงสร้างทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนที่มีหนี้สินต่อทุนในสัดส่วนที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยสัดส่วนหนี้สินต่อทุนน่าจะทะลุ 3 เท่าและหนี้สินรวมทะลุ 30 ล้านล้านบาท มากกว่าสองเท่าของจีดีพีประเทศขณะที่ผลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนลดลงจากระดับ 9.2 แสนล้านบาทในปี พ.ศ. 2561 มาอยู่ที่ 4.1 แสนล้านบาทเท่านั้นในปีนี้ มีความเป็นไปได้ที่ บริษัทจดทะเบียนจำนวนหนึ่งต้องมีการเพิ่มทุน รีไฟแนนซ์ และ ตัดขายทรัพย์สินบางส่วนออก เพื่อดำรงสภาพคล่องและสามารถชำระหนี้ได้