นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทยังคงสานต่อนโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ เฉลี่ย 2,120 ตัน หรือ เทียบเท่าป่าสีเขียวกว่า 1,700 ไร่ ภายใต้โปรเจ็กต์ Sansiri Sustainability Mission โดยเฉพาะการเป็นผู้นำในการติดตั้งเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) ให้กับบ้านในโครงการของแสนสิริ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกที่จะขับเคลื่อนด้วย EV
ดังจะเห็นได้จาก business-standard.com ได้เผยข้อมูลว่าอังกฤษเป็นประเทศแรกที่จะมีกฎหมายกำหนดให้บ้านและสำนักงานที่สร้างใหม่ต้องมีการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV และคาดว่าจะบังคับใช้ภายในปี 2565 เพื่อสร้างความมั่นใจให้ชาวอังกฤษเปลี่ยนไปใช้รถ EV ได้อย่างไม่มีสะดุด หลังจากที่อังกฤษประกาศห้ามจำหน่ายรถยนต์สันดาปในปี 2573
จากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ในปี 2562 แสนสิริ จึงได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) เพื่อขยายโซลูชั่นในการอำนวยความสะดวกลูกบ้านในการใช้รถพลังงานไฟฟ้าและการเข้าถึงสถานีชาร์จ ด้วยการติดตั้ง EV Charging Station ในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ นำร่องโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 95 หัวชาร์จ (50 เครื่อง) ใน 28 โครงการ
" ล่าสุด แสนสิริ และ SHARGE เดินหน้าร่วมสร้างปรากฎการณ์แห่งอนาคต กำหนดเป็นโรดแมป 3 ปี (2565-2567) โดยกำหนดเป้าหมายขยายการติดตั้ง EV Charging Station ให้ครอบคลุมโครงการแนวสูงที่เปิดใหม่ และโครงการแนวราบในระดับเซ็กเมนต์ B ขึ้นไปทุกโครงการ ภายใต้งบลงทุน 65 ล้านบาท หรือการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ราว 1,500 เครื่อง ภายใน 3 ปี "
โดยโครงการบ้านเดี่ยวในเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป จะได้รับพริวิลเลจพิเศษ เป็นเครื่องชาร์จ ABB Terra AC Wallbox (Normal Charge) นำเข้าโดย SHARGE ที่สามารถชาร์จได้เร็วถึง 4-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดรถ) ซึ่งการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับที่อยู่อาศัยในครั้งนี้สอดคล้องกับการสำรวจพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่และผู้อยู่อาศัยแสนสิริในเซกเมนต์ B ขึ้นไป ที่พบว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว (Young Success) และมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวีตแบบยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม บางส่วนเป็นเจ้าของรถ EV หรือกำลังมองหารถ EV เพื่อใช้ในอนาคต
ทั้งนี้ผลสำรวจของแสนสิริสอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน ที่ระบุว่าจากการสำรวจคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พบว่า 86% ให้ความใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง 80% ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อม และ 81% ระบุว่า เต็มใจจ่ายแพงขึ้น เพื่อให้ได้สินค้าสำหรับวิถีชีวิตที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม
บริษัท ได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนในระยะ 3 ปี ที่ราว 500-600 ล้านบาท จากราคาหัวชาร์จเฉลี่ย 6 - 7 หมื่นบาทต่อหัว อย่างไรก็ตาม คาดในอนาคต จากความต้องการที่มีมากขึ้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ ถูกพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ อาจทำให้มีราคาถูกลง และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการในเซกเม้นท์ระดับอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม หรือ โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ในระดับราคาเข้าถึงได้เช่นกัน
" ย้อนไป 5 ปีที่แล้ว ลูกบ้านในโครงการแสนสิริ มีรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ถึง 10 คัน แต่ขณะนี้นับ 100 คัน หรือ มองไปบนท้องถนน ก็เห็นมากขึ้น เนื่องจากแบรนด์จีน ยุโรป และเกาหลี เข้ามาบุกตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอาจได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ดึงดูดดีมานด์ความต้องการใช้ มีความเป็นไปได้ ที่ในอนาคตจะขยายการติดตั้งหัวชาร์ตไปยังโครงการระดับอื่นๆ เช่น ดีคอนโดฯ ,เดอะ เบส หรือ โครงการทาวน์เฮ้าส์ - ทาวน์โฮม ราคา 2-3 ล้านบาท เป็นต้น "
ด้าน นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเติบโตอย่างชัดเจน ในดีมานด์ของโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งจากความร่วมมือของพาร์ทเนอร์อสังหาฯ เช่น แสนสิริ พฤกษา ไรมอนแลนด์ มียอดติดตั้งในคอนโดฯ ราว 200 หัวชาร์ตต่อปี โดยเทรนด์ รถยนต์ EV ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นในไทย ทำให้มีความต้องการใช้หัวชาร์จอย่างปลอดภัยมากขึ้นตามไปด้วย ประเมินอัตราการเติบโตแค่ในกลุ่มคอนโดฯ ประมาณ 30-100% ต่อปี ขณะโรดแมปใหม่ ที่ตั้งเป้าความการร่วมมือกับแสนสิริ ในโครงการบ้านด้วยนั้น น่าจะทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างชัดเจน ปลุกกระแสความสนใจของอสังหาฯรายอื่นๆ ตามมาเช่นกัน
" ปัจจัยบวกของตลาดรถยนต์ EV ในไทย หลักๆยังมาจากแรงผลักดันของรัฐบาลต่างประเทศ เช่น รัฐบาลยุโรป ที่ส่งเสริมพลังงานสะอาด บูมธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการตั้งเกณฑ์ค่าปรับ ทำให้ค่ายยุโรปต่างๆ เริ่มปรับตัว และหันมาขยายการลงทุนมากขึ้น ไทยเองก็จะได้รับซัพพลายจากราคาที่ถูกลง ขณะ ปัจจัยลบ ยังคงมาจากเรื่องภาษีนำเข้าของไทย ที่ค่อนข้างสูง ทำให้ภาพเป้าหมาย ว่า รถยนต์ EV เป็นรถประหยัด ไม่เกิดขึ้น จากค่าแรกเข้า ค่าภาษีที่สูงมาก ส่งผลในประเทศไทย ยังมีข้อจำกัดในการเติบโตของตลาดนี้ "
นายพีระภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับจุดแข็งที่สำคัญของ SHARGE คือ การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจากหลากหลายอุตสาหกรรม และการได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับแสนสิริ ที่เล็งเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ EV ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ต้องการชาร์จรถที่บ้าน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับโรดแมปของประเทศที่ภาครัฐให้การสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเปลี่ยนแปลงการใช้ EV มากขึ้น
โรดแมป 5 ปี ของ SHARGE ที่ตั้งเป้าหมายดำเนินผ่านกลยุทธ์ ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO’ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยคามสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
• NIGHT: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า
•DAY: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%
•ON THE GO: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด
" ความร่วมมือในครั้งนี้แสนสิริและ SHARGE ไม่ได้หวังเพียงแค่การเติบโตและความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้น แต่ต้องการสร้างโมเดลในการปฏิรูปวงการที่อยู่อาศัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง และเป็นการสนับสนุนให้การใช้รถ EV ในประเทศไทยเติบโตได้จริงในระยะเวลารวดเร็ว เพราะปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้รถ EV หรือไม่นั้น การเข้าถึงหัวชาร์จ เป็นหัวใจสำคัญ หากภาคอสังหาริมทรัพย์เข้ามาร่วมสนับสนุนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ เชื่อว่าจะทำให้ผู้ใช้รถตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ EV ได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมที่เร็วขึ้น "