19 ม.ค.2565 - แม้ สถานการณ์โควิด "โอมิครอน" ที่ระบาดตั้งแต่ต้นปี 2565 จะน่ากังวลไม่น้อยสำหรับทิศทางภาคธุรกิจไทย แต่สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น พบผู้พัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ๆยังคงออกมาประกาศแผนธุรกิจการลงทุนอย่างยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ Noble ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ในการเจาะลูกค้า "คอนโดมิเนียม" ต่างชาติระดับไฮเอนท์
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป พบ แผนธุรกิจโนเบิล ปี 2565 เปลี่ยนทิศทางการขยายกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน โดยกลับมาพึ่งพาตลาดคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมราคาเริ่ม 1-3 ล้านบาท ควบคู่กับ แผนขยายลูกค้าต่างชาติ ผ่านกลยุทธ์ การใช้คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency
อสังหาฯ ปี 2565 มีปัจจัยบวกมากกว่าลบ
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ. โนเบิล เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จะฟื้นตัวขึ้นจากปี 2564 แม้จะเกิด การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ อย่าง "โอมิครอน" โดยเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากนัก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อ Sentiment ของคนในประเทศที่เริ่มผ่อนคลายความกังวลประกอบกับภาครัฐที่มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดมากขึ้น ทั้งการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมจำนอง ออกไปถึงสิ้นปี 2565 การผ่อนปรนต่างชาติให้เข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ไทยได้นานขึ้น
รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ไปถึงสิ้นปี 2565 ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์บวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้
แผนธุรกิจโนเบิลปี 65 เปิดใหม่ 18 โครงการ
จากปัจจัยเชิงบวกข้างต้น ส่งผลให้ “โนเบิล” วางกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับปี 2565 โดยยังคงมุ่งเน้น ขยายธุรกิจเชิงรุกสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 47,700 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและรองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ซึ่งการพัฒนาโครงการในแนวราบจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้นเนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง
จับตากลยุทธ์ "คอนโดฯใกล้ห้าง" กระจายทำเลทั่วกรุง
โนเบิลมีแผนจะพัฒนาโครงการในทำเลที่กระจายตัวมากขึ้นเพื่อครอบคลุมทุกความต้องการในทุกมิติของผู้อยู่อาศัยในทุกทิศของกรุงเทพฯ เช่น ถนนเอกมัยรามอินทรา ทำเลโซนดอนเมือง ถนนศรีนครินทร์ ถนนกรุงเทพกรีฑา ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราชพฤกษ์ รวมถึงทำเลกลางใจกลางเมือง อาทิ ถนนเพลินจิต เป็นต้น
สำหรับในช่วงไตรมาส 1/2565 “โนเบิล” เตรียมประเดิมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม พร้อมกัน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท โดยชูจุดเด่น 3 คอนโดฯติดห้าง 1 โครงการใจกลางอารีย์ และ 1 โครงการแลนด์มาร์คใจกลางดอนเมือง ได้แก่
ส่วนโครงการอื่นๆอีก 13 โครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮมจะ ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2565
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้อีก 14 โครงการแบ่งเป็น
ลุยขยายพอร์ตอสังหาฯต่างประเทศ
สำหรับการลงทุนในสหราชอาณาจักร กลยุทธ์ของบริษัทฯในปี 2564 ที่ผ่านมาได้เริ่มซื้ออพาร์ทเมนท์ ใจกลางเมืองกว่า 40 ห้องในใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์ และเมืองลีดส์ มูลค่ารวม 6.7 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯสามารถทำการขายได้มากกว่า 30% ของจำนวนห้องทั้งหมด โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ 35% บริษัทฯเชื่อว่าโมเดลธุรกิจนี้จะเป็นโมเดลธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างรายได้ประจำที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับอัตรากำไรที่ดีจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าว
สำหรับปี 2565 บริษัทฯได้ตั้งเป้าการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้วจำนวน 550 ห้อง ในแถบมิดแลนด์ และตอนเหนือของอังกฤษ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง จากสถานการณ์สภาวะตลาดในปัจจุบันมีความน่าสนใจเนื่องจากราคาซื้อขายต่ำกว่าอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างใหม่กว่า 30% และด้วยระยะเวลาการลงทุนที่สั้นบริษัทฯคาดว่าอัตราผลตอบแทนของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ประมาณ 20%-25% ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ
เดินหน้าเจาะต่างชาติ ขึ้นTOP5อสังหาฯไทย
นายธงชัย ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “โนเบิล” อยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มช่องทางในการชำระเงินให้กับลูกค้า โดยการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการใช้คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เบื้องต้นคาดกระบวนการจะเสร็จสิ้นและสามารถชำระได้ภายในไตรมาส 2/2565 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ และยังเป็นการสอดรับกับกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่คาดว่าจะกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2565
ทั้งนี้สำหรับการเพิ่มช่องทางชำระเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าวโดยเฉพาะกับลูกค้าต่างชาติ เป็นการตอกย้ำจุดแข็งของ “โนเบิล” ที่สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ได้ถึง 56% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติ ทั้งนี้จากการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์การขยายการลงทุนของ “โนเบิล” ส่งผลให้บริษัทฯยังคงตอกย้ำสู่การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทยติดอันดับ TOP 5 ในอนาคต