กรณีกระทรวงการคลังมีคำสั่งจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี2565ในอัตราเต็ม100% แม้เป็นผลดีต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ส่งเสริมให้มีรายได้มากขึ้น
ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาล แต่มองว่าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีภาระก้อนใหญ่จากภาษีที่ดินถล่มซ้ำมีต้นทุนเพิ่มขึ้นทันที 90%ทั้งที่ยังบอบซ้ำจากปัจจัยลบเศรษฐกิจถดถอย การระบาดโควิด วิกฤติสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ต้นทุนพลังงาน วัสดุก่อสร้างปรับตัวสูง
ย้อนไปก่อนหน้านี้ 3สมาคมบ้านซึ่งประกอบด้วยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ผลักดันผ่านสภาหอการค้าไทย ขอประวิงเวลาการชำระภาษีที่ดินในอัตราลดหย่อน10% จนกว่าเศรษฐกิจจะพลิกฟื้นแต่คำตอบที่ได้รับกระทรวงการคลังกลับปฏิเสธ
ที่กระทบมากที่สุดเห็นจะเป็นสต็อกสินค้าหรือที่อยู่อาศัยเหลือขาย จากการขายที่ค่อนข้างช้า ในช่วงโควิดเมื่อปิดการขายไม่ทันตามเกณฑ์ที่กฎหมายผ่อนผัน กล่าวคือ ต้องขายให้หมดปิดโครงการภายใน3ปีนับจาก ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง กรณีคอนโดมิเนียมการก่อสร้างต้องใช้เวลาเกือบ3ปี
หากขายไม่ทัน จำนวนหน่วยที่เหลือจะเปลี่ยนเป็นการชำระภาษีในอัตราอื่นๆ(พาณิชย์) ทันที ซึ่งกลายเป็นภาระของผู้ประกอบการ ที่ต้องชำระภาษีที่ดินในระหว่างทาง และในที่สุดภาระที่เกิดขึ้นจะถูกผลักไปสู่ผู้บริโภค
นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการต้องชำระภาษีระหว่างพัฒนาโครงการอยู่ก่อนแล้วหลายรายการ เมื่อมีภาษีที่ดินเข้ามามองว่าเป็นลักษณะการเสียภาษีที่ซ้ำซ้อนบนที่ดินแปลงเดียว
นับตั้งแต่ซื้อที่ดินรอพัฒนา การจ้างออกแบบ ซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้าง ล้วนต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)7% เมื่อก่อสร้างเสร็จและอยู่ในขั้นตอนการขายผู้ประกอบการต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% ในกรณีที่ขายที่อยู่อาศัยได้ในแต่ละหน่วยและมาถึงการโอนกรรมสิทธิ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอน 2% และเมื่อสินค้าขายไม่หมดสิ่งที่ตามมาคือภาษีที่ดิน
อย่างไรก็ตามมองว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยและส่วนของธุรกิจโรงแรม โดยอยากให้รัฐบาลเห็นใจผ่อนปรนลดหย่อนอัตราภาษีที่ดินเหลือ10% ต่อไปอีกระยะ
นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐบาลแยกที่ดินที่ต้องเสียภาษีที่ดินออกเป็นสองส่วนได้แก่ กลุ่มแรกที่ดินสำหรับเก็งกำไร ,ที่ดินมรดกของคนรวยที่ไม่เดือดร้อน ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนทำสวนเกษตรปลูกกล้วย มะนาวกลางเมือง
ทั้งสีลม รัชดาภิเษก ฯลฯ ประเด็นนี้รัฐควรพิจารณาเรียกเก็บภาษีให้จริงจัง ในขณะกลุ่มที่สองคือกลุ่มซื้อที่ดินมาผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภค ควรช่วยเหลือบรรเทา เพราะอาจกระทบในวงกว้างโดยเฉพาะผู้ซื้อ
สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณของท้องถิ่น นายกสมาคมอาคารชุดไทยมองต่างมุมกับกระทรวงการคลังว่า ที่ผ่านมามักปรากฎโครงการที่ท้องถิ่นจัดซื้อจัดจ้างที่มีมูลค่าสูงเกินจริง บางโครงการลงทุนไปไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน
อย่างเสาไฟส่องสว่างต้นละแสนบาทหรือเสาไฟกินนรีจังหวัดสมุทรปราการ และเริ่มมีระบาดให้เห็นทั่วประเทศเหล่านี้ถือว่ามีความจำเป็นใช่หรือไม่
สอดคล้องนายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่า เร็วๆนี้ สมาคม จะขอเจรจากับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อเรียกร้องประเด็นการเรียกเก็บภาษีที่ดิน เต็มอัตรา 100% อีกครั้ง
เพราะจนถึงวันนี้ต้องยอมรับว่า ในหลายกรณี ผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับภาษีตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ได้ และไม่อยากให้รัฐต้องมานั่งไล่แก้ปัญหาย้อนหลัง เมื่อผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว
โดยในรายละเอียดนั้น รัฐควรพิจารณาเป็นรายประเภท รายกรณีไป ว่าใครจ่ายไหว ใครจ่ายไม่ไหวในช่วงนี้ เช่น ภาษีประเภททรัพย์สิน ในกลุ่มโรงแรม ซึ่งขณะนี้หลายรายอยู่ในภาวะที่ไม่มีกำลังพอในการจ่ายแน่นอน และการจะบีบเรียกเก็บในอนาคต คงจะเกิดปัญหาไม่น้อย
อีกส่วน คือ สต็อกเหลือขายในกลุ่มโครงการบ้าน-คอนโดฯ เกิน 3 ปี ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก รัฐเองก็ไม่เคยลงมาเก็บตัวเลขอย่างชัดเจน ทำให้ไม่เห็นปัญหา ไม่เห็นถึงภาระภาษีที่ผู้ประกอบการจะต้องจ่าย จึงอยากเรียกร้องให้ทบทวน เนื่องจากเข้าใจดีว่า ปีนี้กระทรวงการคลัง คงไม่สามารถเลื่อนการจัดเก็บภาษีได้แล้ว เนื่องจาก จำเป็นต้องใช้งบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่น
"โครงการที่เหลือขายเกิน 3 ปี 10 ปี มีเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการเรียกว่า สินค้าค้างสต็อก ฉะนั้น ไม่ควรมาเป็นภาระให้กับการทำธุรกิจที่ประสบปัญหาในการขายอยู่แล้ว แต่ตามกฎหมายภาษีที่ดินใหม่ จะถูกเรียกเก็บตามมูลค่า "
รายงานข่าวจากกรุงเทพมหานคร(กทม.)ระบุว่ากทม.กำหนดเป้าการจัดเก็บรายได้จากภาษีที่ดินปี2565 ไว้ที่7,500ล้านบาท หรือคิดเพียงอัตรา50% เข้าใจว่าประชาชนเจ้าของที่ดินไม่สามารถชำระ ได้เต็ม 100% เพราะเศรษฐกิจยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ