3 ก.ค.2565 - นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ 6 เดือนแรก ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยหลัก ๆ เกิดจากภาวเศรษฐกิจประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวดี อันเนื่องมาจากผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โรคระบาดโควิด-19 ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และนโยบายภาครัฐที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงราคาวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างและราคาบ้านขยับสูงขึ้นตามกัน ผู้ประกอบการรายเล็กรายกลางหลาย ๆ รายต้องประสบปัญหาขาดทุน
ผวาเงินเฟ้อ-ตลาดแข่งดุ
นอกจากนี้ ยังฉุดกำลังซื้อส่วนหนึ่งของผู้บริโภคชะงักลงอีกด้วย สถานการณ์ดังกล่าวอาจถือได้ว่าเป็นอีก 1 บทพิสูจน์ศักยภาพของผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านในปัจจุบัน รายใดเป็นมืออาชีพตัวจริง และรายใดเป็นแค่มือสมัครเล่นที่ไม่สามารถไปต่อได้หรืออาจจะต้องปิดตัวลง ซึ่งอาจกระทบผู้บริโภคที่ใช้บริการ หากว่าไม่มีการศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ บริการ และผู้ประกอบการว่ามั่นคงและมั่นใจได้หรือไม่
" ยอมรับว่าตลาดรับสร้างบ้านแข่งขันกันรุนแรงมาก สารพัดกลยุทธ์การตลาดทั้งวิชาเทพและวิชามาร บรรดาผู้ประกอบการต่างงัดออกมาห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด เช่น การตัดราคา การโจมตีกัน ฯลฯ"
สำหรับในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะกลับมาหดตัวอีกครั้ง ราคาน้ำมันจะยังอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง การปรับอัตราดอกเบี้ยและปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้น คาดว่าจะกระทบต่อกำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านพอสมควร
ปรับกลยุทธ์รัดเข็มขัด
ทั้งนี้ สำหรับศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา มียอดขายบ้านมูลค่ารวมกว่า 700 ล้านบาท จากจำนวนสาขาที่มีอยู่ทุกภูมิภาค 27 แห่ง เกินกว่าที่คาดหมายไว้อยู่พอสมควร ปัจจัยหลัก ๆ มาจากราคาน้ำมันและวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจปลูกสร้างบ้านเร็วขึ้น เพราะต้องการสร้างบ้านในราคาต้นทุนเดิม กอปรกับการผันผวนของต้นทุนก่อสร้าง ผู้บริโภคจึงมองหาผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ ด้วยเพราะไม่ต้องการเผชิญกับปัญหาการจัดการ การทิ้งงาน และปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาหลัง
ซึ่งพีดีเฮ้าส์ก็คงต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยจะเน้นการบริหารจัดการภายในองค์กรให้รัดกุมหรือรัดเข็มขัดมากขึ้น ส่วนในด้านกลยุทธ์การตลาดจะยังคงชูจุดแข็งบ้านประหยัดพลังงาน บ้านสุขภาพ และบ้านผู้สูงอายุ เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพกันมากขึ้นอาคารสงเคราะห์ ที่ระบุว่า บ้านมือสองในระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทมีความต้องการซื้อมากที่สุด เพราะเป็นระดับราคาที่บ้านใหม่มีซัพพลายอยู่น้อยมากจากต้นทุนที่ดินและต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น
บ้านมือสองจึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ความต้องการบ้านราคา 3-5 ล้านบาท มีสัดส่วน 22% และ ราคา 2-3 ล้านบาท มีสัดส่วน 19% ตามลำดับ