11 พ.ย.2565 - นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้ทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการขายโครงการในเครือของ NOBLE ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/2565 เติบโตขึ้น
โดยมีรายได้รวม 2,193 ล้านบาท เติบโต 150% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 137 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ มาจากการโอนโครงการพร้อมอยู่ (Ready to Move) และโครงการที่เพิ่งสร้างเสร็จในไตรมาสนี้ เช่น โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว โนเบิล ศรีนครินทร์ – ลาซาล โครงการโนเบิล บี 19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 และโครงการ โนเบิล แอมเบียนส์ สุขุมวิท 42 เป็นต้น
ส่งผลให้ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม โดยมีรายได้รวม 4,733 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท ด้านยอดขาย (Pre-sale) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตทะยานแตะระดับ 14,796 ล้านบาท สอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ซึ่งยอดขายดังกล่าวเป็นยอดขายที่เติบโตก้าวกระโดด หรือเติบโตในระดับเกือบ 2 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
โดยทุกโครงการที่บริษัทฯ เปิดตัวใหม่ในปีนี้ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง สร้างยอดขายเฉลี่ยที่ระดับ 60%-70% ต่อโครงการ ซึ่งเป็นไปตามตลาดโดยรวมที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลดีต่อ Sentiment ของผู้บริโภคภายในประเทศ ทั้งลูกค้าในกลุ่มที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real demand) และลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2565 ในมือรวมมูลค่า 20,050 ล้านบาท
ขณะที่ทิศทางของไตรมาส 4/2565 มองว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทฯ มีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 และ โครงการนิว โนเบิล ศรีนครินทร์-ลาซาล ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2565 นี้ จะมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการ ประกอบด้วย
ซึ่งทั้ง 5 โครงการดังกล่าวมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 5,200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทยอยโอนได้ในปีนี้ได้กว่า 4,100 ล้านบาท ประกอบกับยังมีโครงการแนวราบที่ทยอยสร้างและทยอยส่งมอบตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เช่น โครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล โครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ เฮาส์ ดอนเมือง โครงการโนเบิล เคิร์ฟ และโครงการนิว โนเบิล โคฟ-นอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการใหม่ภายใต้ โครงการนิว ริเวอร์เรสต์ ราษฎร์บูรณะ มูลค่าโครงการ 4,650 ล้านบาทเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการคอนโดใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของบริษัทฯ โดยการพัฒนาโครงการของโนเบิลในทุกโครงการจะเน้นให้มีความหลากหลาย ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และสร้างความพร้อมในการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับโอกาสที่จะเข้ามาในอนาคต
“ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2565 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่รวมจำนวนทั้งหมด 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 31,550 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ต้นปีเนื่องจากมีบางโครงการได้มีการเลื่อนเปิดไปปีหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการประเภทแนวราบซึ่งบริษัทฯ ต้องการให้สร้างเสร็จระดับนึงก่อนขาย ซึ่งคาดว่าโครงการที่เลื่อนออกไปจะเริ่มทยอยเปิดตัวได้ในช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นไป ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมบางโครงการที่เลื่อนเปิดตัว เนื่องจากเป็นโครงการร่วมทุนที่มีขนาดใหญ่ จึงยังต้องรอจังหวะให้มั่นใจว่าต่างชาติกลับเข้ามาก่อน "
ทั้งนี้ โครงการที่เลื่อนเปิดไม่กระทบกับการรับรู้รายได้ของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ ยังคงดำเนินการพัฒนาโครงการในด้านอื่น ๆ ตามแผนการที่วางไว้ ทั้งงานด้านการออกแบบ การก่อสร้าง การขออนุญาต ซึ่งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นบริษัทฯ ก็สามารถเปิดตัวโครงการ และพัฒนาโครงการต่อได้ทันที” นายธงชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันคนโดยเฉพาะผู้มีกำลังซื้อ จะเน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ซึ่งการลงทุนในช่วงที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน การ Inflation Hedge (การป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน) ในการลงทุนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นทางออกที่ดี เพราะเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อไปในตัว ซึ่งหากเงินเฟ้อสูง เราสามารถปรับราคาค่าเช่าขึ้นตามได้ ขณะที่ราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างก็ปรับตัวขึ้นตลอด ดังนั้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นการลงทุนที่ดี ทำให้มียอดขายของ โนเบิล มาจากลูกค้าในกลุ่มนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกรณีที่ ครม.อนุมัติให้ต่างชาติที่มีรายได้สูง 4 กลุ่ม มีจำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ในกิจการหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น จะได้สิทธิวีซ่าผู้พำนักระยะยาว (LTR Visa 10 ปี) และจะได้สิทธิขอถือครองที่ดิน เพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ (400 ตารางวา) ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองนั้น บริษัทฯ มองว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว เนื่องจาก โนเบิล เป็นผู้นำทางด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างชาติอยู่แล้ว
“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โนเบิล เป็นผู้นำในการขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้กับลูกค้าต่างชาติ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) มากกว่า 50% ของมูลค่าตลาดรวมการขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้
แต่ โนเบิล ก็ยังคงมียอดขายจากลูกค้าต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีความสนในซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสัญชาติของลูกค้าที่เข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีความหลากหลายขึ้น ไม่ได้พึ่งพิงตลาดจีนเพียงอย่างเดียวแต่ยังกระจายไปตลาดฮ่องกง ใต้หวัน สิงคโปร์ และเมียร์มาร์ เป็นต้น และในปี 2566 บริษัทฯจะเน้นการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้น เพื่อให้สอดรับนโยบายภาครัฐอีกด้วย