ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดใหม่ในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งถือว่าเปิดศักราชใหม่นั้นเน้นแต่ที่อยู่อาศัย และในศักราชใหม่นี้เป็นห้องชุดพักอาศัยถึง 74% เน้นราคาถูก โดยเฉลี่ยเปิดขายในราคาเพียง 3 ล้านบาท ที่สำคัญบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์มีหน่วยขายแชร์ในตลาดแค่ 13% ในอนาคตตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเป็นแบบกึ่งผูกขาดมากขึ้น
ทั้งนี้ นายโสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) สรุปภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 25 โครงการ จำนวนทั้งหมด 8,336 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 95.7% จากเดือนธันวาคม 2565 มูลค่ารวมทั้งสิ้น 25,019 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเพียง -2.5% จากเดือนธันวาคม 2565
จำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ทั้งหมด 8,336 หน่วย แยกเป็นประเภทที่เปิดมากที่สุด คืออาคารชุด 6,192 หน่วย (74.3%) รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 980 หน่วย (11.8%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 843 หน่วย (10.1%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด
มูลค่าการพัฒนารวมทั้งสิ้น 25,019 ล้านบาท ประเภทที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด คืออาคารชุด 13,750 ล้านบาท (55.0%) รองลงมาคือ บ้านเดี่ยว8,020 ล้านบาท (32.1%) ส่วนอันดับ 3 คือ ทาวน์เฮ้าส์ 2,150 ล้านบาท (8.6%) ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดตามลำดับ
ในเดือนนี้ลักษณะการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะแตกต่างกับเดือนที่ผ่านมา โดยจะพบว่า อาคารชุดที่เข้าสู่ตลาดในเดือนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นระดับราคาปานกลางค่อนข้างตํ่า ส่วนบ้านแนวราบจะมีระดับราคาปานกลาง และระดับราคาค่อนข้างสูง คือ กลุ่มบ้านเดี่ยว โดยบ้านเดี่ยว จะเน้นที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ ที่ราคา 1-3 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดจะเน้นที่ราคา 1-2 ล้านบาท เป็นสำคัญ
เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่เป็นระดับราคาถูก ทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง ประมาณ-50.2% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของเดือนก่อน โดยราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของเดือนนี้มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 3.001 ล้านบาท แต่เดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 6.026 ล้านบาท ซึ่งในเดือนนี้แสดงถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาถูกที่มีทำเลนอกเมืองมากขึ้น และเน้นกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยตามแหล่งงานหรืออาศัยอยู่ในย่านนั้นเป็นสำคัญ
พิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่า ในเดือนแรกของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 15.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 10.1% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการได้สูงสุด และมีจำนวนหน่วยขายเป็นส่วนใหญ่ของตลาด คือ
อาคารชุด ระดับราคา 1-2 ล้านบาท จำนวน 3,003 หน่วย ขายได้แล้ว 653 หน่วย (21.7%) รองลงคือ อาคารชุดระดับราคา 2-3 ล้านบาท จำนวน 1,963 หน่วย ขายได้แล้ว 341 หน่วย (17.4%) และอันดับ 3 คือ อาคารชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 1,209 หน่วย ขายได้แล้ว 163 หน่วย (13.5%)
เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) มีจำนวน 9 บริษัท คือ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ภัทรเฮ้าส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท วังทอง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ออริจิ้น พร็อพ
เพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอสเซท ไวส์ จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ