21 มีนาคม 2566 - REDPAPER เปิด 3 เมกะเทรนด์ ของ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัย อุตสาหกรรม และอาคารสำนักงาน ซึ่งจัดทำโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ร่วมกับบริษัท นัมเบอร์ส 10 รีเสิร์ช จำกัด โดยพบ 3 เมกะเทรนด์ ที่จะเป็นทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ดังนี้
จากการสำรวจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 กลุ่ม พบว่า การให้ความสำคัญและเพิ่มคุณค่ากับสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะยกระดับสินค้าและบริการนั้น ๆ มากขึ้น โดยในธุรกิจที่อยู่อาศัยมีผลสำรวจว่า ผู้บริโภคต้องการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 44% ในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 33% เพราะบ้านเดี่ยวสามารถส่งมอบคุณค่าในยุคที่คนใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากขึ้น ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางและสามารถปรับใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น
รวมถึงใส่ใจเรื่องการเลือกเฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่สะท้อนถึงตัวตนและรสนิยมของผู้อยู่อาศัย ขณะที่ธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่านั้น ผู้เช่าต้องการผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีบริการครอบคลุมทุกความต้องการ เพื่อสร้างประสิทธิภาพการทำงานมากที่สุด พร้อมด้วยความใส่ใจในแง่ของการเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการควบคู่กัน
ในส่วนของการออกแบบอาคารสำนักงานจะต้องมีฟังก์ชันและสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีพื้นที่หลากหลายรูปแบบให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย และสร้างบรรยากาศออฟฟิศที่ทำให้พนักงานมีความสุขเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งผลการสำรวจพนักงานออฟฟิศ พบว่า 49% ต้องการให้ออฟฟิศมีพื้นที่สีเขียว, 33% ต้องการมองเห็นวิวทิวทัศน์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน และ 30% ต้องการการทำงานในออฟฟิศที่มีความยืดหยุ่น
แนวคิด Human Centric ซึ่งให้ความสำคัญกับการออกแบบและฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ยึดผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เห็นได้จากการพัฒนาบ้านที่ต้องทำความเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อออกแบบบ้านให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนทุกวัย และสอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่นเดียวกับการออกแบบอาคารสำนักงานที่มีการปรับเปลี่ยนตามรูปแบบจากเดิม โดยมีการออกแบบพื้นที่ทั้งแบบ Fixed Space ผสมผสานกับ Co-Working Space รองรับการทำงานของแต่ละธุรกิจที่มีจำนวนพนักงานแตกต่างกัน เพื่อสร้างความคล่องตัวและสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมนั้นต้องเจาะลึกถึงพฤติกรรมการใช้งานและความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม นอกจากที่ต้องพร้อมให้บริการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าสำหรับลูกค้ารายใหญ่ทั้งแบบอาคารสำเร็จรูป (Ready-Built) และสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) แล้ว ต้องมีพื้นที่รองรับลูกค้าขนาดเล็กและกลางที่อาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งมองได้ว่าเป็นโอกาสในการขยายตลาดด้วยการเพิ่มบริการ Co-Warehouse หรือ Co-Space เป็นการสร้างพื้นที่ให้ลูกค้าขนาดเล็กและกลางใช้พื้นที่คลังสินค้าร่วมกัน
ประเด็น ESG หรือ Environment, Social, Governance (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) เป็นเรื่องที่หลายองค์กรคำนึงถึงในการดำเนินธุรกิจ เพราะปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทที่มีนโยบายหรือแนวทางที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ภัยพิบัติหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคให้น้ำหนักและจริงจังถึงเรื่อง ESG มากขึ้น
จากการสำรวจพบว่า กลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างเลือกใช้วัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย พร้อมทั้งมีการปรับสูตรการผลิตสินค้าเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่ระบุว่าดีเวลลอปเปอร์ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแม้จะมีต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นก็ตาม ด้วยเล็งเห็นว่าสามารถใช้งานได้ในระยะยาว และตอบโจทย์เรื่องรักษ์โลก เป็นไปในทิศทางเดียวกับการก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าที่มีการใช้พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน และดูแลคุณภาพชีวิตผู้ใช้งาน ซึ่งบริษัทข้ามชาติให้ความสำคัญกับเรื่อง Carbon Footprint และ Net Zero Emission ด้านผู้พัฒนาอาคารสำนักงานก็พัฒนาอาคารตามมาตรฐาน LEED และ WELL Building Standard เช่นกัน