ORI ทำยอดโอนทะลุ 4.4พันล้าน ปิดดีลร่วมทุนอสังหาฯ พุ่ง 15โปรเจ็กต์

17 พ.ค. 2566 | 03:44 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ค. 2566 | 05:14 น.

ออริจิ้น หรือ ORI เปิดฤกษ์ ไตรมาสแรก ทำยอดโอนอสังหาฯ ทะลุ 4.4 พันล้านบาท หนุนกำไรสุทธิ 798 ล้าน พร้อมปิดดีล ร่วมทุนบ้าน-คอนโด-โรงแรม-คลังสินค้า เพิ่มได้อีก 15 โครงการ หนุนยุทธศาสตร์ 3 ปี สร้างแบ็คล็อก 44,221 ล้านบาท

17 พฤษภาคม 2566 - นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (ม.ค.-มี.ค.2566) บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรรวมทั้งสิ้นกว่า 4,430 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 31% รวมโครงการที่อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า (JV) ที่ทยอยสร้างเสร็จและรับรู้รายได้แล้วกว่า 2,279 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงการร่วมทุนที่บริษัททยอยสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง 

 สำหรับโครงการที่สร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์อย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 1/2566 คือกลุ่มโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 และยังคงทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีนี้ รวมถึงโครงการสร้างเสร็จใหม่ในไตรมาส 1/2566 อาทิ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี (Park Origin Ratchatewi) พาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน (Park Origin Chula-Samyan) แฮมป์ตัน ศรีราชา (Hampton Sriracha) ตลอดจน ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ลาดพร้าว อินเตอร์เชนจ์ (Origin Plug & Play Ladprao Interchange) 

ORI ทำยอดโอนทะลุ 4.4พันล้าน ปิดดีลร่วมทุนอสังหาฯ พุ่ง 15โปรเจ็กต์

ขณะเดียวกัน บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 798 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน8% มาจากทั้งกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย และการเติบโตของกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ในเครือ อาทิ ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ที่เปิดดำเนินงานแล้วจำนวน 5 โครงการในปี 2565 และมีโครงการก่อสร้างเสร็จใหม่ และทยอยรับรู้รายได้เป็นครั้งแรกอีก 1 โครงการ จำนวนห้องพักรวม 411 ห้อง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีทส์ แบงค็อก สุขุมวิท (Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit) ภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) 

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดดีลร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่กับภาคเอกชนและเจ้าของที่ดิน (Landlord) ทั้งในกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม โรงแรม และคลังสินค้า รวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 16,515 ล้านบาท (รวมมูลค่า REIT ประมาณการณ์ของโครงการโรงแรมและคลังสินค้า) แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ บ้านจัดสรร 6 โครงการ โรงแรม 2 โครงการ และคลังสินค้า 2  โครงการ

โครงการส่วนใหญ่เป็นการวางรากฐานสู่อนาคต โดยการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน (Landlord) ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการมีที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในหลายจังหวัดหัวเมืองใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทจะขยายการพัฒนาโครงการต่างๆ ไปทั่วประเทศไทย โดยมีแผนพัฒนาโครงการในปี 2566 – 2568 

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2/2566 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/2566 เนื่องจากช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่มีขึ้นต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวมีเม็ดเงินสะพัด ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรม บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเป็นไปอย่างคึกคัก อีกทั้งเม็ดเงินการลงทุนจากภาครัฐน่าจะกลับมาเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 

ทั้งนี้ บริษัทยังมียอดรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 ที่แข็งแกร่ง คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 44,221 ล้านบาท โดยเป็นยอดจากทั้งกลุ่มโครงการ JV และ Non-JV ที่จะทยอยรับรู้ในปี 2566 อีกประมาณ 17,253 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เกิดขึ้นแล้วในช่วงไตรมาส 1/2566 จะส่งผลให้บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์รออยู่แล้วกว่า 72% ของเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ 30,000 ล้านบาท เมื่อประกอบกับความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือที่มีการกระจายพอร์ตออกสู่หลากหลายธุรกิจ ไม่เพียงเฉพาะธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทจึงมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 2566 นี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้