นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บมจ.อนันดา เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนคอนโดหรู "แอชตัน อโศก" ว่า ทางบริษัทเคารพในคำพิพากษาของศาลปกครองฯ ขณะนี้บริษัทและเจ้าของร่วม 580 ครอบครัว จำนวน 668 ยูนิต ได้รับผลกระทบร่วมกันบนความถูกต้องและสุจริต หลังจากนี้บริษัทจะต้องหาทางออกเพื่อเยียวยาต่อไป เบื้องต้นบริษัทจะมีการประชุมร่วมกับเจ้าของร่วมในโครงการดังกล่าวภายในวันนี้
“เราต้องสู้กันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วผู้ที่จะต้องงรับผิดชอบในเรื่องนี้คือใคร เพราะเป็นการถูกฟ้องร้องทั้ง 5 หน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเราจะต้องหารือร่วมกับรฟม.และกทม. รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกและบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการภายใน 14 วัน”
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า จากผลคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนหรือไม่นั้น ถือว่ามีผลกระทบพอสมควร เนื่องจากมีการออกโฉนดไปหมดแล้ว ซึ่งมีประชาชนเข้ามาอยู่อาศัยเกินกว่า 4 ปี นอกจากนี้ไม่ใช่โครงการเดียวที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ แต่ยังมีอีกหลายโครงการฯที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับโครงการอื่นๆที่มีการเชื่อมทางกับหน่วยงานราชการที่ได้มาจากกฎหมายการเวนคืนที่ดิน
“คดีนี้จะกระทบต่อผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัทหรือไม่นั้น มองว่าจะมีผลกระทบจำกัด เนื่องจากเรามียูนิตที่มีมูลค่าขายประมาณ 828 ล้านบาท ซึ่งเราถือหุ้นครึ่งหนึ่งเท่ากับความเสื่อมมูลค่าแอสเสทอยู่ที่ 250-300 ล้านบาท หากเทียบกับความสามารถในการเซอร์วิสเงินต้นกับบอนด์ถือว่าเล็กน้อยมากกว่า”
รายงานข่าวจากบมจ.อนันดา กล่าวว่า คดีนี้ทางบริษัทจะยื่นฟ้องหน่วยงานที่อนุมัติโครงการฯหรือไม่นั้น เบื้องต้นบริษัทจะต้องขอความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐก่อนว่ากรณีที่เกิดขึ้นมีแนวทางใดที่สามารถแก้ไขปัญหาได้บ้าง หากในที่สุดความเสียหายปรากฏชัดอาจจะต้องหารือกับเจ้าของร่วมด้วย เพราะบริษัทยังเป็นเจ้าของร่วม ซึ่งยังมียูนิตพร้อมขายอีกเป็นจำนวนมากพอสมควร ทั้งนี้อาจจะต้องร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยเยียวยาความเสียหายเหล่านี้ได้อย่างไร
“ในทางคดีของศาลปกครองถือว่าคดีสิ้นสุดในชั้นศาลปกครองสูงสุดแล้ว เว้นแต่ว่าจะมีประเด็นใหม่ที่สามารถหักล้างหรือโต้แย้งที่เป็นช่องทาง ซึ่งเป็นจุดที่เรายังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ในเวลานี้ จำเป็นต้องขอระยะเวลาในการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานภาครัฐด้วย โดยเรื่องนี้ถือเป็นความเสียหายร่วมกันทั้งหมด”