แม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังห่างจากช่วงปี2561 – 2562 จึงทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจในระยะยาว การซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นการสร้างภาระในระยะยาวจึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรือมีความจำเป็นต้องเร่งรีบในขณะนี้ ทำให้กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยมีจำกัดมาก แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถที่จะหยุดการเปิดขายโครงการใหม่ หรือชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ไปได้นานๆ
ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจึงมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการหลายรายพยายามหาทำเลหรือช่องทางในการเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง
“พร็อพเพอร์ตี้ดีเอ็นเอ” ประเมินว่า ก่อนหน้านี้กระแสของการออกต่างจังหวัดเงียบลงไปจากช่วงปี2555 – 2557 จากที่เคยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ออกไปต่างจังหวัดกันมากมายโดยเฉพาะจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก เช่น ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา เป็นต้น แต่ก็ลดน้อยลงเหลือเพียงบางจังหวัดที่เป็นจังหวัดใหญ่ โดยจังหวัดที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ทั้งกำลังซื้อคนไทยและต่างชาติ อาจจะเหลือเพียงที่จังหวัดภูเก็ตเท่านั้นที่ชัดเจนที่สุด จังหวัดอื่นๆ ทั้งเมืองท่องเที่ยวชายทะเล และหัวเมืองอื่นๆ เหลือเพียงกำลังซื้อคนไทยที่ไม่มากนัก แต่ก็ยังผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายที่ยังคงเดินหน้าเปิดขายโครงการใหม่ในจังหวัดใหญ่เหล่านี้ เช่น เอพี ไทยแลนด์ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แสนสิริ เอสซี แอสเสท และศุภาลัย เป็นต้น
สำหรับที่ภูเก็ตแล้วตอนนี้กลายเป็นจังหวัดที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลาง และผู้ประกอบการท้องถิ่นเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างแสนสิริ ศุภาลัย ซึ่งมีทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม โดยเปิดขายกันมาหลายปีมากแล้วไม่ใช่แค่ช่วง 2 – 3 ปีมานี้ หลายโครงการของพวกเขาปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์มานาน
ล่าสุดได้เปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่องทั้งในปีที่ผ่านมา และปี2566 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เปิดขายโครงการบ้านจัดสรรหลายระดับราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปถึงมากกว่า 30 ล้านบาทต่อยูนิตในภูเก็ตมาหลายปี และอาจจะมีโครงการใหม่ในอนาคต เช่นเดียวกับ ค่ายพฤกษา เรียลเอสเตทมีโครงการบ้านจัดสรรหลายโครงการ หลายรูปแบบและระดับราคาในภูเก็ตเพื่อรองรับกำลังซื้อที่แตกต่างกัน
ผู้ประกอบการรายใหญ่อีกรายอย่างค่ายซีพีเอ็น เรสซิเด้นซ์ ก็มีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกในภูเก็ตในช่วงระดับราคา 3 – 6 ล้านบาทต่อยูนิต
โครงการบ้านจัดสรรของผู้ประกอบการหลายรายอาจจะเน้นไปที่กำลังซื้อคนไทย โดยเน้นทำเลที่อยู่ในพื้นที่เมืองของภูเก็ต แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายที่ต้องการกำลังซื้อต่างชาติ คือ"ไรมอนแลนด์" พัฒนาโครงการ Rosewood Residences Kamala โครงการนี้เป็นโครงการ Branded ร่วมกับ "Rosewood" จะเป็นโครงการBranded luxury Residence ประกอบด้วยโรงแรม และโครงการที่อยู่อาศัยร บนที่ดิน 50 ไร่ที่"กมลา"
"ลากูน่า พร็อพเพอร์ตี้" ผู้ประกอบการรายใหญ่ของภูเก็ตที่มีที่ดินขนาดใหญ่ และพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบ หลายระดับราคา คอนโดมิเนียมที่ระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปถึงมากกว่า 70 ล้านบาทต่อยูนิต และยังมีการพัฒนาโรงแรม รีสอร์ตอีกหลายแห่ง หลายระดับราคาเช่นกัน
"ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้" ประกาศเช่นกันว่าปี2566 ใช้งบซื้อที่ดินในจังหวัดภูเก็ตไปกว่า 2,000 ล้านบาทมากที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่กรุงเทพมหานคร โดยจะเปิดโครงการใน 5 ทำเลทางฝั่งตะวันตกของภูเก็ต โดยจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรม ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และคาดว่าจะใช้เวลาพัฒนา 3 - 4 ปีทยอยพัฒนาเป็นส่วนๆ มูลค่าลงทุนในแต่ละส่วนประมาณ 1,000 ล้านบาท
"ซิซซากรุ๊ป" ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนรายหนึ่งที่มีการลงทุนที่ภูเก็ต พังงา และนครศรีธรรมราชหลายโครงการ อาจจะไม่ใช่รายใหญ่ แต่ใน ปี2566 ยังมีการลงทุนพัฒนาเพิ่มเติมอีก 4 โครงการทั้งโครงการโรงแรม ที่อยู่อาศัย และเมดิคอล เซ็นเตอร์ในภูเก็ต และนาใต้ พังงา รวมมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท
ผู้ประกอบการรายใหญ่ของภูเก็ตอีกรายที่ต้องพูดถึง คือ "โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต" ซึ่งพัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศระดับ ลักชัวรี ในภูเก็ต 4 โครงการแล้วปิดการขายแทบทุกโครงการ แม้ว่าระดับของราคาขายจะมากกว่า 20 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปก็ตาม นอกจากนี้ โบทานิก้ายังมีผู้ซื้อส่วนหนึ่งที่เป็นต่างชาติด้วย
ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายต้องการที่จะขยายฐานรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยทั้งบ้าน และคอนโดมิเนียมในภูเก็ตให้สามารถสร้างรายได้แบบต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เพียง 1 – 2 โครงการแล้วก็หายไป การร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน หรือผู้ประกอบการท้องถิ่นจึงเป็นอีก ทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะได้อาศัยทั้งกำลังทรัพยากรบุคคล และความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงความเข้าใจในตลาด และฐานข้อมูลลูกค้าที่อยู่แล้ว
โดยในช่วงช่วงปลายปีที่ผ่านมา "แอสเซทไวส์" ประกาศร่วมทุนกับทางโบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทางแอสเซทไวส์จะร่วมลงทุน 30% ในโครงการ BOTANICA Grand Avenue บนพื้นที่กว่า 178 ไร่ เพื่อพัฒนาบ้านระดับ ลักชัวรี กว่า 200 ยูนิต โบทานิก้าเป็นผู้ประกอบการในภูเก็ตที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงที่ผ่านมา
โครงการของทางโบทานิก้าที่เปิดขายมาก่อนหน้านี้ก็ได้รับความสนใจและปิดการขายต่อเนื่องมีผู้ซื้อทั้งไทยและต่างชาติ จากนั้นปี2566 ทางแอสเซทไวส์ก็แสดงความชัดเจนว่าต้องการขยายฐานลูกค้าในภูเก็ตแบบระยะยาว โดยการประกาศเข้าซื้อหุ้นกว่า 57.79 % ของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI มูลค่ากว่า 1,042,923,750 บาท ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาในช่วงปีพ.ศ.2566 – 2569 ประมาณ 10,000 ล้านบาท และวางแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินกว่า 80 ไร่เพื่อพัฒนาโรงแรม และขยายเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวมากขึ้นในอนาคต
ภูเก็ตเป็นหนึ่ง ในตลาดที่ผู้ประกอบการพยายามหาช่องทางเข้ามาเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่อง และไม่ได้หวังเพียงกำลังซื้อจากคนในพื้นที่ หรือกำลังซื้อของคนไทยเท่านั้น กำลังซื้อของชาวต่างชาติก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาที่ภูเก็ตเป็นกลุ่มของนักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายได้มากกว่าคนที่เลือกไปเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอื่นๆ ของประเทศไทย บ้านพักตากอากาศหรือวิลล่า
รวมไปถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาสูงแต่อยู่ในทำเลที่ดีไม่ไกลจากชายหาด หรือสามารถเห็นวิวทะเลได้โดยตรงจากโครงการ หรือมีรูปแบบโครงการที่น่าสนใจก็จะได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติค่อนข้างมาก ซึ่งชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจในภูเก็ตมีทั้งชาวเอเชีย และชาติตะวันตก แต่ชาวจีน และรัสเซีย ยุโรปอาจจะมีสัดส่วนที่มากกว่าชัดเจน นอกจากนี้โครงการที่ให้ผลตอบแทน 5 – 7% ในช่วงระยะเวลา 3 – 7 ปี หรือมากกว่านี้ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง รูปแบบโครงการที่คนให้ความสนใจ
โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ซื้อต่างชาติที่ไม่ได้ตั้งใจมาพักอาศัยระยะยาวในภูเก็ต เพียงแค่ต้องการบ้านหรือที่อยู่อาศัยในช่วงระยะเวลาไม่นานเพื่อพักร้อนหรือหลบลมหนาวในประเทศตนเอง การซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบนี้ก็ตรงกับความต้องการของพวกเขา โครงการรูปแบบนี้จึงมีจำนวนมาก และหลายโครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างดี