เอพี ไทยแลนด์ เขย่าวงการอสังหาฯ ปูพรม 48 โครงการใหม่ 5.8หมื่นล้าน

22 ก.พ. 2567 | 01:42 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.พ. 2567 | 01:57 น.

เอพี ไทยแลนด์ ปูพรม 48 โครงการใหม่ 5.8หมื่นล้าน  ขยายพอร์ตไปต่อทั่วไทยกว่า 200 โครงการ หลังประสบความสำเร็จปี66 กวาดยอดขาย 5.1หมื่นล้าน กำไร6,000 ล้านบาท ตอกย้ำฐานะการเงินแข็งแกร่ง ขยายพอร์ตที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม กระจายทั่วประเทศ 212โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย โต57,000 ล้านบาท

 

ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ถดถอยขาดความเชื่อมั่นโดยมีตัวแปรมาจากหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงเป็นตัวฉุดรั้ง ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ ทุกค่ายต้องระมัดระวัง เช่นเดียวกับ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ยอมรับว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 67 ยังถือมีความท้าทายรออยู่อีกมาก และเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทั้งในภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนภาพความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังคงต้องเป็นไปแบบระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญสุดที่จะทำให้องค์กรเดินไปอย่างไม่สะดุดท่ามกลางแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ คือ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้แข็งแกร่ง ผ่านความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน

วิทการ จันทวิมล 

เพื่อนำมาสู่สภาพคล่องทางการเงินที่คล่องตัวและมากเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ซึ่ง ณ สิ้นปี 2566 เราสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่
0.79 เท่า ถือเป็นเรื่องที่เอพีเราให้ความสำคัญอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา และถือเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นหนึ่งในทุกมิติ

“ปีนี้ถือเป็นปีของตัวจริง บริษัทฯ ที่จะไปต่อได้จำเป็นต้องมีความพร้อมใน 5 มิตินี้ คือ

1) การบริหารจัดการกระแสเงินสด ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร ซึ่งเราเชื่อว่าวันนี้เรามีความเข้มแข็งมีเสถียรภาพทางการเงิน และสภาพคล่องที่เพียงพอ

2) การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด

3) People – Structure – Process การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และโพรเซสการทำงานที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนต่อการทำงานที่รวดเร็วทันทุกการเปลี่ยนแปลง
4) การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง

และ5) ซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนการพัฒนาและส่งมอบโครงการ”

 

สานต่อความเป็นหนึ่ง

นายวิทการ กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทฯ พร้อมมุ่งสานต่อความเป็นหนึ่งภายใต้กลยุทธ์ EMPOWER TOGETHER โดยในปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม ตั้งเป้าหมายที่จะส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่เพื่อชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ เพื่อให้ ‘ทุกพื้นที่ในบ้านเอพี’ เติบโตไปพร้อมกับทุกคน

โดยปี 2567 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ามีโครงการเอพีพร้อมขายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 212 โครงการ
เพื่อครองภาพการเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ทั้งในด้านยอดขาย รายได้ และผลกำไร โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 51,390 ล้านบาท ด้านรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม(100% JV) และธุรกิจอื่นๆ สูงถึง48,757 ล้านบาท และกำไรสุทธิมากถึง 6,054 ล้านบาท  

วิทการ จันทวิมล 

ทั้งนี้ เป้าหมายการกระจายพอร์ตสินค้าทั่วประเทศไทย 212 โครงการนั้น ประกอบด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวน 48 โครงการ มูลค่า 58,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จำนวน 164 โครงการ ซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (cash inflow)

สำหรับเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯ ณ ปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก ด้วยการรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการวางแผนและบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้วันนี้บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีเยี่ยม และเพียงพอต่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ตลอดจนศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น

1. ตลาดเงินที่พร้อมเปิดกว้างต้อนรับบริษัทฯ ซึ่งเมื่อต้นปีบริษัทฯ ได้ชำระหุ้นกู้มูลค่า 2,500 ล้านบาทเสร็จสิ้นตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย และในเวลาเดียวกันหุ้นกู้ออกใหม่มูลค่า 3,500 ล้านบาทของเราก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม  (over subscription)

2. วงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้ (available credit line) จากสถาบันทางเงินที่ให้วงเงินแก่บริษัทฯ มากถึง 12,700 ล้านบาท

3. เม็ดเงินการลงทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่างมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทลูกที่มากถึง 12,619 ล้านบาท สำหรับการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยร่วมไปกับเอพี

และ 4. รายได้จากการขายและโอนอสังหาริมทรัพย์ (cash inflow) ที่กระจายความเสี่ยงไปในทุกเซกเมนต์กว่า 200 โครงการ ตามเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่า 53,700 ล้านบาท ที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเต็มศักยภาพ  

รุกเพิ่มแชร์ตลาดบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury

ในปี 2567 กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท โดยยังคงย้ำจุดยืน FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL หรือ บ้านที่เข้าใจชีวิต ซึ่งถือเป็น DNA สำคัญที่ผลักดันให้บ้านเดี่ยวเอพีเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไฮไลต์ของปีนี้ นอกจากการให้ความสำคัญในการออกแบบพื้นที่ชีวิต เพื่อทุกคนเลือกจะเติบโตไปด้วยกันในบ้านเดี่ยวเอพีแล้ว กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาด Super Luxury ระดับราคา 100 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาสินค้าแบรนด์
THE PALAZZO ให้เป็นคฤหาสน์หรูในบริบทใหม่ ที่มากกว่าที่อยู่อาศัยแต่คือ อาณาจักรที่คุณเลือกเองได้ ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า 1,000 ตารางเมตร ใน 2 ทำเล อย่างกรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า และ
แบรนด์ บ้านกลางกรุง บ้านเดี่ยวในเมือง ในทำเลสาธุประดิษฐ์ ซึ่งทั้งหมดพร้อมจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบบ้านในแบรนด์ THE CITY, CENTRO และ MODEN ที่ถือเป็นแบรนด์สินค้าหลักที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน 

ตั้งเป้าผู้นำตลาดบ้านแฝดในเมือง

ด้านกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝด ในปี 2567 นี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท นอกเหนือจากการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้น และ 2 ชั้นแล้วในปีนี้บริษัทฯ พร้อมส่งต่อความสำเร็จในการพัฒนาทาวน์โฮม ภายใต้แนวคิดพื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่ดีที่สุดสู่เป้าหมายครั้งใหม่ที่ท้าทายยิ่งกว่า ด้วยการตั้งเป้าจะเป็นผู้นำตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นในเมือง ภายใต้จุดยืนที่ต้องการส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่ชีวิตที่ให้คุณเลือกขยายพื้นที่ให้พอดีกับทุกความสุขด้วย 3 แบรนด์สินค้าในเครือ ได้แก่ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่  – บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น – แกรนด์ พลีโน่
กับจุดขายบ้านหน้ากว้างสูงสุด 14.7 เมตร มีให้เลือกขยายพื้นที่ความสุขทั้งในแบบบ้านแฝด 3 ชั้นพื้นที่ 35.50 - 46.40 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 218.87– 298 ตารางเมตร และบ้านแฝด 2 ชั้นพื้นที่ 35.10 – 44.83 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 133.45 – 200.2 ตารางเมตร เริ่ม 3.19 ล้านบาท

โดยในแผนการเปิดตัว 23 โครงการใหม่ จะเป็นบ้านแฝดจำนวน 7 โครงการ ในทำเล ได้แก่
บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ รัชดา-ลาดพร้าว / บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น โยธินพัฒนา / บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น บางนา / แกรนด์ พลีโน่ วัชรพล-จตุโชติ 10 / แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ / แกรนด์ พลีโน่รามอินทรา-วงแหวน 2 / แกรนด์ พลีโน่ สุขสวัสดิ์ 64 และส่วนที่เหลือจะเป็นในรูปแบบทาวน์โฮม 3 ชั้นและทาวน์โฮม 2 ชั้นคอนโดเอพีเติบโตต่อเนื่องรับตลาดรีบาวด์

สำหรับกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมตลาดในวันนี้ถือว่าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าอีกไม่นานภาพตลาดคอนโดมิเนียมไทยจะกลับคืนสู่จุดเดิมก่อนเผชิญสภาวะวิกฤตโรคระบาด ซึ่งในปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมเอพีประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในด้านยอดขายและการรับรู้รายได้ โดยสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 17,908 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 57% หากเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ด้านรายได้รวมเฉพาะจากสินค้าคอนโดมิเนียม (100% JV) เองก็มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 13,184 ล้านบาท สะท้อนได้ถึงการฟื้นตัวของดีมานด์ ตลอดจนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อคอนโดเอพี

โดยในปี นี้กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมยังคงทำงานภายใต้จุดยืนเดิมคือ เริ่มชีวิตที่อยากใช้ AP คอนโด เพื่อส่งมอบพื้นที่ชีวิตที่ทุกคนเลือกเองได้ โดยเตรียมเปิดตัว 6 คอนโดใหม่ มูลค่า 12,500 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดจะชูแบรนด์ LIFE และ ASPIRE เป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาโครงการ โดยมีLIFE เจริญนคร-สาทร และ ASPIRE ห้วยขวาง เป็นไฮไลต์เด็ดของปี นอกจากนั้นแล้ว ยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดพร้อมอยู่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,500 ล้านบาท ได้แก่LIFE พหลฯ-ลาดพร้าว LIFE พระราม 4-อโศก และ ASPIRE รัชโยธิน

ทั้งนี้ โดยสรุปเอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าปี 2567 ขยายพอร์ตสินค้าในเครือเอพีพร้อมขายกระจายทั่วประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 212 โครงการ โดยเป็นโครงการพัฒนาใหม่ จำนวน 48 โครงการ มูลค่าประมาณ 58,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จำนวน 164 โครงการซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (cash inflow) โดยตั้งเป้ายอดขาย 57,000 ล้านบาทเป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 53,700 ล้านบาท

 

ข้อมูลสรุปทางด้านการเงิน

ผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายสูงสุดในอุตสาหกรรมถึง 51,390 ล้านบาท มีรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 48,757 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 6,054 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.79 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า ณ 11 กุมภาพันธ์ 2567 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้มูลค่า 37,191 ล้านบาท