ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ถดถอยขาดความเชื่อมั่นโดยมีตัวแปรมาจากหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงเป็นตัวฉุดรั้ง ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ ทุกค่ายต้องระมัดระวัง เช่นเดียวกับ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ยอมรับว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 67 ยังถือมีความท้าทายรออยู่อีกมาก และเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทั้งในภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนภาพความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังคงต้องเป็นไปแบบระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญสุดที่จะทำให้องค์กรเดินไปอย่างไม่สะดุดท่ามกลางแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ คือ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้แข็งแกร่ง ผ่านความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน
เพื่อนำมาสู่สภาพคล่องทางการเงินที่คล่องตัวและมากเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ซึ่ง ณ สิ้นปี 2566 เราสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่
0.79 เท่า ถือเป็นเรื่องที่เอพีเราให้ความสำคัญอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา และถือเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นหนึ่งในทุกมิติ
“ปีนี้ถือเป็นปีของตัวจริง บริษัทฯ ที่จะไปต่อได้จำเป็นต้องมีความพร้อมใน 5 มิตินี้ คือ
1) การบริหารจัดการกระแสเงินสด ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร ซึ่งเราเชื่อว่าวันนี้เรามีความเข้มแข็งมีเสถียรภาพทางการเงิน และสภาพคล่องที่เพียงพอ
2) การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด
3) People – Structure – Process การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และโพรเซสการทำงานที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนต่อการทำงานที่รวดเร็วทันทุกการเปลี่ยนแปลง
4) การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง
และ5) ซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนการพัฒนาและส่งมอบโครงการ”
สานต่อความเป็นหนึ่ง
นายวิทการ กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทฯ พร้อมมุ่งสานต่อความเป็นหนึ่งภายใต้กลยุทธ์ EMPOWER TOGETHER โดยในปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม ตั้งเป้าหมายที่จะส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่เพื่อชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ เพื่อให้ ‘ทุกพื้นที่ในบ้านเอพี’ เติบโตไปพร้อมกับทุกคน
โดยปี 2567 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ามีโครงการเอพีพร้อมขายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 212 โครงการ
เพื่อครองภาพการเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ทั้งในด้านยอดขาย รายได้ และผลกำไร โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 51,390 ล้านบาท ด้านรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม(100% JV) และธุรกิจอื่นๆ สูงถึง48,757 ล้านบาท และกำไรสุทธิมากถึง 6,054 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป้าหมายการกระจายพอร์ตสินค้าทั่วประเทศไทย 212 โครงการนั้น ประกอบด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวน 48 โครงการ มูลค่า 58,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จำนวน 164 โครงการ ซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (cash inflow)
สำหรับเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯ ณ ปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก ด้วยการรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการวางแผนและบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้วันนี้บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีเยี่ยม และเพียงพอต่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ตลอดจนศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น
1. ตลาดเงินที่พร้อมเปิดกว้างต้อนรับบริษัทฯ ซึ่งเมื่อต้นปีบริษัทฯ ได้ชำระหุ้นกู้มูลค่า 2,500 ล้านบาทเสร็จสิ้นตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย และในเวลาเดียวกันหุ้นกู้ออกใหม่มูลค่า 3,500 ล้านบาทของเราก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม (over subscription)
2. วงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้ (available credit line) จากสถาบันทางเงินที่ให้วงเงินแก่บริษัทฯ มากถึง 12,700 ล้านบาท
3. เม็ดเงินการลงทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่างมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทลูกที่มากถึง 12,619 ล้านบาท สำหรับการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยร่วมไปกับเอพี
และ 4. รายได้จากการขายและโอนอสังหาริมทรัพย์ (cash inflow) ที่กระจายความเสี่ยงไปในทุกเซกเมนต์กว่า 200 โครงการ ตามเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่า 53,700 ล้านบาท ที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเต็มศักยภาพ
รุกเพิ่มแชร์ตลาดบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury
ในปี 2567 กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท โดยยังคงย้ำจุดยืน FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL หรือ บ้านที่เข้าใจชีวิต ซึ่งถือเป็น DNA สำคัญที่ผลักดันให้บ้านเดี่ยวเอพีเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไฮไลต์ของปีนี้ นอกจากการให้ความสำคัญในการออกแบบพื้นที่ชีวิต เพื่อทุกคนเลือกจะเติบโตไปด้วยกันในบ้านเดี่ยวเอพีแล้ว กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาด Super Luxury ระดับราคา 100 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาสินค้าแบรนด์
THE PALAZZO ให้เป็นคฤหาสน์หรูในบริบทใหม่ ที่มากกว่าที่อยู่อาศัยแต่คือ อาณาจักรที่คุณเลือกเองได้ ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า 1,000 ตารางเมตร ใน 2 ทำเล อย่างกรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า และ
แบรนด์ บ้านกลางกรุง บ้านเดี่ยวในเมือง ในทำเลสาธุประดิษฐ์ ซึ่งทั้งหมดพร้อมจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบบ้านในแบรนด์ THE CITY, CENTRO และ MODEN ที่ถือเป็นแบรนด์สินค้าหลักที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน
ตั้งเป้าผู้นำตลาดบ้านแฝดในเมือง
ด้านกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝด ในปี 2567 นี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท นอกเหนือจากการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้น และ 2 ชั้นแล้วในปีนี้บริษัทฯ พร้อมส่งต่อความสำเร็จในการพัฒนาทาวน์โฮม ภายใต้แนวคิดพื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่ดีที่สุดสู่เป้าหมายครั้งใหม่ที่ท้าทายยิ่งกว่า ด้วยการตั้งเป้าจะเป็นผู้นำตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นในเมือง ภายใต้จุดยืนที่ต้องการส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่ชีวิตที่ให้คุณเลือกขยายพื้นที่ให้พอดีกับทุกความสุขด้วย 3 แบรนด์สินค้าในเครือ ได้แก่ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ – บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น – แกรนด์ พลีโน่
กับจุดขายบ้านหน้ากว้างสูงสุด 14.7 เมตร มีให้เลือกขยายพื้นที่ความสุขทั้งในแบบบ้านแฝด 3 ชั้นพื้นที่ 35.50 - 46.40 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 218.87– 298 ตารางเมตร และบ้านแฝด 2 ชั้นพื้นที่ 35.10 – 44.83 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 133.45 – 200.2 ตารางเมตร เริ่ม 3.19 ล้านบาท
โดยในแผนการเปิดตัว 23 โครงการใหม่ จะเป็นบ้านแฝดจำนวน 7 โครงการ ในทำเล ได้แก่
บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ รัชดา-ลาดพร้าว / บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น โยธินพัฒนา / บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น บางนา / แกรนด์ พลีโน่ วัชรพล-จตุโชติ 10 / แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ / แกรนด์ พลีโน่รามอินทรา-วงแหวน 2 / แกรนด์ พลีโน่ สุขสวัสดิ์ 64 และส่วนที่เหลือจะเป็นในรูปแบบทาวน์โฮม 3 ชั้นและทาวน์โฮม 2 ชั้นคอนโดเอพีเติบโตต่อเนื่องรับตลาดรีบาวด์
สำหรับกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมตลาดในวันนี้ถือว่าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าอีกไม่นานภาพตลาดคอนโดมิเนียมไทยจะกลับคืนสู่จุดเดิมก่อนเผชิญสภาวะวิกฤตโรคระบาด ซึ่งในปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมเอพีประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในด้านยอดขายและการรับรู้รายได้ โดยสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 17,908 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 57% หากเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ด้านรายได้รวมเฉพาะจากสินค้าคอนโดมิเนียม (100% JV) เองก็มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 13,184 ล้านบาท สะท้อนได้ถึงการฟื้นตัวของดีมานด์ ตลอดจนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อคอนโดเอพี
โดยในปี นี้กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมยังคงทำงานภายใต้จุดยืนเดิมคือ เริ่มชีวิตที่อยากใช้ AP คอนโด เพื่อส่งมอบพื้นที่ชีวิตที่ทุกคนเลือกเองได้ โดยเตรียมเปิดตัว 6 คอนโดใหม่ มูลค่า 12,500 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดจะชูแบรนด์ LIFE และ ASPIRE เป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาโครงการ โดยมีLIFE เจริญนคร-สาทร และ ASPIRE ห้วยขวาง เป็นไฮไลต์เด็ดของปี นอกจากนั้นแล้ว ยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดพร้อมอยู่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,500 ล้านบาท ได้แก่LIFE พหลฯ-ลาดพร้าว LIFE พระราม 4-อโศก และ ASPIRE รัชโยธิน
ทั้งนี้ โดยสรุปเอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าปี 2567 ขยายพอร์ตสินค้าในเครือเอพีพร้อมขายกระจายทั่วประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 212 โครงการ โดยเป็นโครงการพัฒนาใหม่ จำนวน 48 โครงการ มูลค่าประมาณ 58,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จำนวน 164 โครงการซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (cash inflow) โดยตั้งเป้ายอดขาย 57,000 ล้านบาทเป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 53,700 ล้านบาท
ข้อมูลสรุปทางด้านการเงิน
ผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายสูงสุดในอุตสาหกรรมถึง 51,390 ล้านบาท มีรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 48,757 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 6,054 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.79 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า ณ 11 กุมภาพันธ์ 2567 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้มูลค่า 37,191 ล้านบาท