KEY
POINTS
แสนสิริ (SIRI) ทำกำไรสุทธิปี 66 สูงสุดในรอบ 40 ปี อยู่ที่ 6,060 ล้านบาท โต 42%และเติบโตสุงสุดในอุตสาหกรรมอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย จากความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริและครองยอดขายเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ลักชัวรี
สร้างยอดขายปี 2566 ได้กว่า 49,000 ล้านบาท รายได้รวมอยู่ที่ 39,082 ล้านบาท ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่ และมุ่งเป้าขยายพอร์ตลักชัวรีและกลับไปรุกหัวเมืองท่องเที่ยวและจังหวัดใหญ่
เดินหน้าต่อตามแผนธุรกิจปี 2567 เปิดตัวโครงการใหม่ 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาท (มูลค่าสูงสุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ) มุ่งรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตสม่ำเสมอ ให้ความสำคัญกับวินัยทางการเงิน รักษาระดับสภาพคล่องที่ 17,000 ล้านบาท
เตรียมโอน 10 คอนโดมิเนียม มูลค่า 14,000 ล้านบาท
ประสบความสำเร็จอย่างสูง สำหรับ บริษัทแสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI ผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศประกาศผลการดำเนินงานปี 2566 สร้างสถิติใหม่ทั้งยอดขายรายได้ ผลกำไรสุทธิ เติบโตสูงสุดในกลุ่มอสังหา ริมทรัพย์ เพื่ออยู่อาศัย“ALL-TIME HIGH” นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 40 ปี และในปี 2567 มุ่งมั่นเดินหน้าแผนธุรกิจขยายพอร์ตโครงการลักชัวรีในฐานะเจ้าตลาด กลับไปรุกหัวเมืองท่องเที่ยว-จังหวัดใหญ่ สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม รวมถึงสิ่งแวดล้อม
กำไรพุ่ง 42% 6,060 ล้าน สูงเป็นประวัติการณ์
นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า ปี 2566 แสนสิริสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกำไรสุทธิสูงถึง 6,060 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ก่อตั้งมาได้ 40 ปี หรือ ALL-TIME HIGH เพิ่มขึ้น 42% จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 4,280 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 15.5%
ทุบสถิติใหม่ นับว่าเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตด้านกำไรสุทธิสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ ส่วนยอดขายรวมอยู่ที่ 49,000 ล้านบาท ด้านรายได้รวมก็ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่เช่นกันอยู่ที่ 39,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูง
โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวที่แสนสิริเป็นเจ้าตลาดอสังหาฯ ในระดับลักชัวรีและมียอดโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา, เศรษฐสิริ ดอนเมือง, นาราสิริ พหล-วัชรพล,บูก้าน กรุงเทพกรีฑาและบุราสิริ วัชรพล รวมถึงคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ หรือ Ready to Move ที่สามารถขายและรับรู้รายได้ได้ทันที อาทิ โครงการเอ็กซ์ที พญาไท, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, ดีคอนโด พนา, โอกะ เฮ้าส์, เอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา, เดอะ เบส เพชรบุรี-ทองหล่อ และเดอะ มูฟ บางนา
แบรนด์ลักชัวรี สร้างความเชื่อมั่น
สิ่งที่สำคัญและปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นผลจากการตอบรับในแบรนด์ที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่ดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะการครองใจกลุ่มลูกค้าลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรีด้วยคุณภาพและบริการจากแสนสิริที่เหนือกว่า ผ่านประสบการณ์จริงของลูกค้าที่ได้สัมผัส ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในมาตรฐานสินค้าและบริการ จนส่งผลให้แสนสิริเป็นเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ลักชัวรีจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการควบคุมวินัยทางการเงินของบริษัทฯ เป็นอย่างดี การบริหารงานก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพให้กับลูกค้า ทั้งหมดส่งผลให้แสนสิริมีประสิทธิภาพในการทำกำไรและสร้างรายรับให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น
ปี67 โตแข็งแกร่งดูแลสังคม -สิ่งแวดล้อม
ปี 2567 แสนสิริยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าต่อตามแผนธุรกิจ เปิดตัวโครงการใหม่ 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท (มูลค่าสูงสุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ) ตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาทและเป้าหมายยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กรควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ประกอบด้วย การรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสมํ่าเสมอ ให้ความสำคัญกับวินัยทางการเงิน พร้อมระดับสภาพคล่องที่ 17,000 ล้านบาท
โดยในปีนี้ ได้เตรียมโอน 10 คอนโดมิเนียม มูลค่า 14,000 ล้านบาท (เดอะ เบส ดาวน์ทาวน์ ขอนแก่น, เดอะ เบส ไฮท์-เชียงใหม่, เดอะไลน์ ไวบ์, ดีคอนโด แซนด์ หาดใหญ่, ดีคอนโด เวล ศรีราชา, ดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต, เวย์ อยุธยา, ดีคอนโด ไฮป์ รังสิต, ดีคอนโด แอร์ ลาดกระบัง และดีคอนโด ชายน์ รังสิต) รวมถึงการบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้ แสนสิริยังวางแผนยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน เพื่อครองอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง นายวิชาญ กล่าว
มุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น
แสนสิริยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต เตรียมประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท โดยได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเมื่อเดือนกันยายน 2566 ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท เตรียมจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในเดือนพฤษภาคมนี้ ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็น Dividend Yield ปี 2566 อยู่ที่ 10.8%
นี่คือความสำเร็จของ “แสนสิริ” เบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯระดับลักชัวรี ที่ผู้บริโภคไว้วางใจ !!