ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการ
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 กลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยเซ็กเมนท์ต่ำกว่า 3 ล้าน ยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์หนี้ครัวเรือน และมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่าเซ็กเมนท์อื่นๆ
ตลาดที่ยังโดดเด่นและมีความแข็งแกร่งในปีนี้ คือกลุ่มตลาดระดับไฮเอนด์จนถึงลักชัวรี่ขึ้นไป กลุ่มตลาดที่มีลักษณะเฉพาะทาง แต่กำลังซื้อยังแข็งแกร่ง อย่างตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง กลุ่มตลาดเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีความต้องการซื้อทั้งจากคนท้องถิ่น คนเข้าไปทำงาน และคนต่างชาติ
ในปี 2567 บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 35 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 37,000 ล้านบาท หากแบ่งตามประเภทโครงการ ประกอบด้วย
1.บ้านจัดสรร ภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,000 ล้านบาท
2.คอนโดมิเนียม ภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL จำนวน 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดย หากแบ่งตามทำเลที่ตั้งโครงการ แบ่งเป็น กรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 52% และจังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ และจังหวัดอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ ชลบุรี พัทยา ภูเก็ต ขอนแก่น ประมาณ 48%
สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในแถบกรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะยังคงเดินหน้าขยายอาณาจักร Origin Pet Family อย่างต่อเนื่อง ตอบรับการเติบโตของกลุ่มคนโสดที่มีรายได้ แต่ไม่มีลูก (Single Income No Kids หรือ SINKs) และกลุ่มคู่รักที่มีรายได้ทั้งคู่แต่ไม่มีลูก (Double Income No Kids หรือ DINKs) ที่หันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกมากขึ้น และตอกย้ำฐานะผู้นำโครงการคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้สะสมมากที่สุดในตลาด
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 นี้ บริษัทจะนำร่องเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,780 ล้านบาท เน้นแบรนด์คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ขึ้นไปอย่าง โซ ออริจิ้น (So Origin) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และแบรนด์บ้านจัดสรรระดับไฮเอนด์และลักชัวรี่ขึ้นไปอย่าง แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) และ เบลกราเวีย (Belgravia) ฯลฯ
ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลจากกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร ณ 31 ธันวาคม 2566 และกำไรสุทธิของงบเฉพาะกิจการสำหรับงวด 6 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท หรือคิดเป็นเงินไม่เกิน 736.2 ล้านบาท เมื่อรวมกับการจ่ายปันผลระหว่างกาลก่อนหน้านี้ หุ้นละ 0.16 บาท สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 หรือคิดเป็นเงิน 392.7 ล้านบาท รวมเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 1,128.9 ล้านบาท
ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีจ่ายปันผลคิดเป็น Dividend Yield กว่า 6% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่ 7.6 บาทต่อหุ้น โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค. 2567 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 9 พ.ค. 2567 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 23 พ.ค. 2567 นี้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 เผชิญความท้าทายหลายอย่าง ทั้งการชะลอการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สงครามระหว่างประเทศ กลายเป็นปัจจัยทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ส่งผลถึงเศรษฐกิจไทย ตลอดจนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งเน้นพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ พร้อมฟังก์ชันที่มีนวัตกรรม
ส่งผลให้บริษัทสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในปีที่แล้วไปได้ถึง 4 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 4,500 ล้าน ดันกวาดยอดขายรวมได้กว่า 47,267 ล้านบาท จากการกระจายพอร์ตฟอลิโอในหลายทำเล ทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดอุตสาหกรรมสำคัญ โดยภาพรวมบริษัทมีรายได้รวมกว่า 15,157 ล้าน และมีกำไรสุทธิ 2,718 ล้าน