ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกำลังเผชิญกับความท้าทายที่น่าจับตามอง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ชี้เตือนถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงใน 5 ทำเลสำคัญ ซึ่งกำลังประสบปัญหาหน่วยเหลือขายสูงทั้งในส่วนของบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม
แม้ว่าบางพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะยังคงมียอดขายใหม่ที่สูง แต่ 5 ทำเลที่ถูกระบุว่าควรเฝ้าระวังนั้น กำลังเผชิญกับภาวะที่มีหน่วยเหลือขายในปริมาณสูงเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนในวงการอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกำลังซื้อในตลาด
ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในทำเลสำคัญของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2567 ระบุว่า ยอดขายใหม่ของที่อยู่อาศัยแนวราบในไตรมาส 1 ปี 2567 มีจำนวน 9,679 หน่วย โดยลดลง 16.1% มูลค่า 62,863 ล้านบาท ลดลง 9.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
ด้าน 5 ทำเลที่ควรจับตาเฝ้าระวังในตลาดบ้านแนวราบ ได้แก่
ส่วนที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดมียอดขายได้ใหม่ในไตรมาส 1 ปี 2567 จำนวน 5,940 หน่วย ลดลง 39% เป็นมูลค่า 27,207 ล้านบาท ซึ่งลดลง 24.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
ด้าน 5 ทำเลที่ในตลาดคอนโดมิเนียมที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ดร. วิชัย ยังระบุว่า ในบางพื้นที่ยังมียอดขายและอัตราดูดซับที่ดี
โดย 5 โซนบ้านแนวราบที่มียอดขายได้ใหม่และอัตราดูดซับที่ดี ได้แก่
สำหรับ 5 ทำเลคอนโดมิเนียมในพื้นที่ที่มียอดขายได้ใหม่และอัตราดูดซับที่ดี ได้แก่
เมื่อพิจารณาอัตราดูดซับพบว่า ในไตรมาส 1 ปี 2567 อัตราดูดซับลดลงมาอยู่ที่ 2.3% หรือเทียบได้กับระยะเวลาในการขายจนหมดถึงประมาณ 40 เดือน ขณะที่อัตราดูดซับไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่ 3.5% ซึ่งเทียบระยะเวลาในการขายจนหมดได้ประมาณ 25 เดือน เมื่อแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่าอัตราดูดซับประเภทโครงการบ้านจัดสรรอยู่ที่ 2.3% ขณะที่ช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 อัตราดูดซับอยู่ที่ร้อยละ 3.1% ส่วนอัตราดูดซับที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดลดลงมาอยู่ที่ 2.2% ขณะที่ช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 อัตราดูดซับอยู่ที่ 4.1% แสดงให้เห็นว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยได้ชะลอตัวลงค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
“อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังสต๊อกคงเหลือและอัตราการดูดซับที่ต่ำลงในหลายพื้นที่ ซึ่งต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่มีอัตราการดูดซับลดลง”