การเฝ้าระวังสถานการณ์นํ้าเหนือมาถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งปีนี้ หลายฝ่ายมองว่าจะไม่ซํ้ารอยเหตุการณ์นํ้าท่วมใหญ่ปี2554 แต่ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ประมาทและมีแผนรับมือต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ที่นายปรีชา กุลไพศาลธรรม นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดนนทบุรีให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์นํ้าเหนือที่กำลังลงมาถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มองว่าไม่หนักหนาสาหัสเหมือนปี2554 เพราะปริมาณมวลนํ้าที่ปล่อยออกจากเขื่อนเจ้าพระยาและจำนวนพายุมีจำนวนน้อยกว่ามาก อีกทั้งเขื่อนหลัก
ยังมีขีดความสามารถเก็บกักนํ้าได้อีกมาก แต่อาจกระทบบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ริมแม่นํ้าเจ้าพระยาเท่านั้น มองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
อย่างไรก็ตามทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ประมาทต่างเตรียมแผนรับมือหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระสอบทราย ผนังกั้นนํ้า โดยเฉพาะจังหวัดนนทบุรีและปทุมธานีมีบทเรียนจากนํ้าท่วมใหญ่ปี2554มาแล้ว
ขณะผู้บริโภคที่อาจได้เปรียบ โดยพิจารณาร่องรอยของนํ้าว่าทำเลไหนจะมีผลกระทบต่อนํ้าท่วม โดยเฉพาะเส้นทางสัญจรเข้าออกโครงการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ ทั้งนี้ โครงการบ้านจัดสรร นับตั้งแต่หลังปี 2554 เป็นต้นมา
มีเรื่องของกฎระเบียบทางกฎหมาย คณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัด กำหนดให้ ทุกโครงการต้องถมดินสูงกว่าปี2554 หรือวัดจากร่องรอยคราบนํ้าบริเวณผนังอาคารหรือเสาไฟฟ้า ก่อนพัฒนาโครงการ
ดังนั้นจึงช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าทุกโครงการบ้านจัดสรร จะถมที่ดินสูงพ้นจากนํ้าท่วมแน่นอนโดยสูงกว่าระดับถนนประมาณ 30เซ็นติเมตร ไปจนถึง 1 เมตร แต่อาจมีผลกระทบอยู่บ้าง สำหรับเขตทางเก่าที่ตํ่ากว่าพื้นที่โครงการ
ทั้งนี้ถนนขนาดใหญ่ในพื้นที่นนทบุรี ได้แก่ถนนติวานนท์ ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนราชพฤกษ์ ที่มีผลกระทบจากปัญหานํ้าท่วมใหญ่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตามช่วงสถานการณ์นํ้าท่วมย่อมมีผลกระทบต่อการตัดสินใจหากเกิดนํ้าท่วมการขายจะชะลอออกไป 3-6 เดือนแต่หากนํ้าไม่ท่วมจะเป็นผลดีไม่เกิดการซํ้าเติมตลาด
ขณะการพัฒนาโครงการในจังหวัดนนทบุรีลดน้อยลงเพราะตลาดชะลอตัว เช่นเดียวกับราคาที่ดินนอกเมือง ของนนทบุรีราคาปรับตัวลดลง 5 ถึง 10% เช่นจากราคาไร่ละ 4 ล้านบาท เพราะความต้องการบ้านลดลงประกอบกับมีที่ดินให้เลือกจำนวนมาก เมื่อเทียบกับในเมืองราคาจะทรงตัว
ทั้งนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในทำเลสำคัญของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2567 มีทำเลที่ควรเฝ้าระวังในตลาดบ้านแนวราบ
ได้แก่ โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย มีหน่วยเหลือขาย 20,214 หน่วย มูลค่า 110,177 ล้านบาท โซนลำลูกกา-ธัญบุรี มีหน่วยเหลือขาย 16,109 หน่วย มูลค่า 93,280 ล้านบาท โซนคลองหลวง
มีหน่วยเหลือขาย 14,478 หน่วย มูลค่า 56,803 ล้านบาท โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีหน่วยเหลือขาย 13,183 หน่วย มูลค่า 83,193 ล้านบาท โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีหน่วยเหลือขาย 11,244 หน่วยมูลค่า 52,080 ล้านบาท เป็นต้น
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,024 วันที่ 5 - 7 กันยายน พ.ศ. 2567