"ศุภาลัยXสต็อกแลนด์" ขยายอาณาจักรอสังหาฯ แสนล้านในออสเตรเลีย

06 ก.ย. 2567 | 23:03 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ย. 2567 | 02:32 น.

"ศุภาลัยXสต็อกแลนด์" ขยายอาณาจักรอสังหาฯ แสนล้านในออสเตรเลีย ปักหมุดต่ออีก12โครงการใหม่ หลัง 10 ปีประสบความสำเร็จต่อเนื่อง ชี้ กำลังซื้อ -พันธมิตรดี กระจายความเสี่ยงอสังหาฯในไทย

 

10 ปีกับการเข้าลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศออสเตรเลีย และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สำหรับ บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย

ศุภาลัยจับมือสต็อกแลนด์พัฒนาโครงการในออสเตรเลีย เพราะนอกจากสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคคนไทยแล้ว ยังเป็นรายแรกและรายเดียวที่ลงไปคลุกฝุ่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปี2557

ในนาม“Supalai Australia Holdings” ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ของศุภาลัย สร้างการเติบโตในตลาดอสังหาริมทรัพย์ออสเตรเลีย ที่เกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจของพันธมิตร เล็งเห็นความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน การมีธรรมาภิบาล ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในไทย 

 

             

 

ขณะเดียวกันศุภาลัย ได้เห็นโอกาส ขยายฐานธุรกิจออกไปยังต่างแดนเพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในภาพรวม  และเห็นถึงฐานกำลังซื้อของคนออสเตรเลียที่มีสูง

แผนลงทุนโครงการใหม่

แม้จะมีหนี้ครัวเรือนถึง120% แต่ประชากรมีวินัยทางการเงินที่ดี ขนาดเศรษฐกิจที่ต่างจากไทย อีกทั้งประเทศมีความปลอดภัย รัฐบาลให้ความสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สนับสนุนงบประมาณให้คนมีบ้านในรูปแบบต่างๆ

จึงนำมาซึ่งการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง และไม่ปิดกั้นโอกาสพันธมิตรที่จะเข้ามาในอนาคต หลังจากจับมือพันธมิตรพัฒนา 12 โครงการ ใน 4 เมือง คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท

ที่สะท้อนความสำเร็จได้จากยอดขาย 2 ไตรมาสแรกของปี 2567 อยู่ที่  1,700 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ของปี2566 พร้อมทั้งเตรียมปิดการขาย หนึ่ง โครงการใหญ่ในเมืองเมลเบิร์นภายในปี2568 ขณะรูปแบบการพัฒนาส่วนใหญ่ จะเน้นการขายที่ดินเปล่าและให้ลูกค้าปลูกสร้างบ้านบนที่ดินเองตามความนิยม

ล่าสุดศุภาลัย ได้เข้าร่วมลงทุนกับ Stockland Communities Partnership HoldCo Pty Ltd  (สต็อกแลนด์) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Stockland Corporation Ltd หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย

ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม

จัดตั้งเป็นกิจการร่วมค้าใหม่ คือ “SSRCP HoldCo Pty Ltd” ร่วมพัฒนา 12 โครงการในอนาคต  ด้วยมูลค่ารวม 5,785 ล้านเหรียญออสเตรเลียหรือกว่า 137,700 ล้านบาท

ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการ บริษัทศุภาลัย ออสเตรเลีย โฮลดิ้ง จำกัด  ระบุว่าศุภาลัยได้เข้าไปบุกเบิกเข้าไปพัฒนาร่วมกับพันธมิตร นับตั้งแต่ปี 2557พัฒนาโครงการในออสเตรเลียปัจจุบันมี  12โครงการมูลค่า 50,000 ล้านบาท ใน 4 เมืองร่วมกับพันธมิตรหลายราย โดยศุภาลัยถือหุ้นอยู่มูลค่า 24,500 ล้านบาท

ทั้งนี้เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดประเทศไทย ล่าสุดตลาดออสเตรเลียเริ่มให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับไทยมากขึ้นจากก่อนหน้านี้ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า ซึ่งที่ผ่านมาทุกโครงการที่ลงไปให้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย IRR ที่18 เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ 

อย่างไรก็ตามแม้ก่อนหน้านี้จะมีสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวในออสเตรเลียบ้างแต่กลับมาฟื้นตัวได้เร็ว มองว่ากลุ่มกำลังซื้อในออสเตรเลียถือว่าดีต่อเนื่อง

เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการศึกษา มีความมั่นคงทางด้านรายได้ และให้ความสำคัญทางด้านที่อยู่อาศัย โดยพฤติกรรมจะเน้นการอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่ และนิยมซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านเองตามสไลต์ของตนเอง

เมื่อถามว่าหากรวมโครงการและแปลงที่ดินทั้งหมดที่ศุภาลัยร่วมลงทุนกับพันธมิตรในออสเตรเลียแล้ว ดร.ประศาสน์ ระบุว่าอาจมีมากถึงหลายหมื่นแปลง หลังบริษัทร่วมทุนกับ

“สต็อกแลนด์” บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับต้นในออสเตรเลีย อีก 12 โครงการใหม่ใน 4 รัฐ 5 เมืองและขยายตลาดใหม่ที่ศุภาลัยไม่เคยไปได้แก่ ซิดนีย์ และวูลลองกอง ในรัฐนิว เซาท์ เวลล์ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 7 ปี

 “ศุภาลัยไม่ปิดกั้นสำหรับพันธมิตรที่จะเข้ามาต่อยอดและขยายโครงการในออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง เพราะ ราคาที่ดินไม่สูงที่ดินยังรอพัฒนาอีกมาก”

ขณะเดียวกันความต้องการที่อยู่อาศัยในออสเตรเลียมีสูงและกำลังซื้อที่สูงโดยบ้านราคาขั้นตํ่าในออสเตรเลียอยู่ที่10ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าไทยมาก

ดังนั้นลูกค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นคนออสเตรเลีย  ด้วยพื้นฐานรายได้ของประชากรที่สูงกว่าคนไทย ขณะที่ราคาบ้านโตตํ่ากว่ารายได้ประชากรทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียน่าลงทุนในระยะยาว

อธิป พีชานนท์

นายอธิป พีชานนท์ กรรมการ บริษัท ศุภาลัย ออสเตรเลีย โฮลดิ้ง จำกัด   มองว่า ออสเตรเลียมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ประชากรมีการศึกษา และกำลังซื้อสูงเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ

แม้ว่าบางห้วงเวลาเศรษฐกิจจะผันผวนบ้างในบางเมือง แต่กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเพราะรัฐบาลให้ความสำคัญภาคอสังหาริมทรัพย์มาเป็นอันดับหนึ่งซึ่งถือเป็นเฟืองจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในบ้านของเขา นอกจากนี้การปฏิเสธสินเชื่อมีไม่มากเพียง 10-20% เมื่อเทียบกับไทย 

ขณะหลักคิดในการพัฒนาโครงการในออสเตรเลีย คือการ ตั้งใจที่ทำให้โครงการมีคุณภาพ ตอบโจทย์ผู้บริโภคและเป็นพันธมิตรที่ดี อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยเริ่มอิ่มตัว จึงต้องกระจายการลงทุน ไปในต่างแดน

ที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลีย หลายคนมองว่า มีจำนวนประชากรน้อยแต่บริษัทจับลูกค้าในเซ็กเมนต์กลุ่มรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงดังนั้น ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ดีมานด์ยังไปต่อได้

เพราะมีกำลังซื้อแต่ละเมืองมีภาวะเศรษฐกิจแตกต่างกันประกอบกับว่า โอกาสในการหางานของคนย้ายไปตามสภาพเศรษฐกิจไม่ได้ยึดติดกับที่เหมือนในประเทศไทย

ล่าสุด บริษัทมีแผนที่เข้าไปพัฒนาโครงการในซิดนีย์ ทั้งนี้เนื่องจากต้องการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยใช้เม็ดเงินจากกำไรที่ได้การลงทุนในช่วงที่ผ่านมา และส่วนหนึ่งใส่เม็ดเงินใหม่เข้ามาเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ เพราะธนาคารไม่ได้ปล่อยสินเชื่อ 100%  สามารถกู้ได้เฉลี่ย 50%

ไมค์ เดวิส

ขณะอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในออสเตรเลีย “สต็อกแลนด์” พันธมิตรศุภาลัย  นำโดย  นายไมค์ เดวิส ผู้จัดการทั่วไปและผู้วางแผนพัฒนาโครงการแม่บท สะท้อนว่า การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในออสเตรเลียเป็นผลดีในเรื่องของต้นทุนที่ดินและความได้เปรียบ ขณะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนออสเตรเลียซึ่งจะมีลูกค้าต่างชาติบ้าง ในแถบทวีปเอเชีย

แต่การที่คนต่างประเทศเข้ามาซื้อต้องขออนุญาตไม่ใช่ใครจะซื้อได้ มีขั้นตอนเสียค่าธรรมเนียมที่ต่างกันโดยรูปแบบจะขายให้คนออสเตรเลียเป็นหลัก แต่ช่วงหลังมีคนต้องการเข้ามาอยู่ในออสเตรเลียจึงขายให้ต่างชาติมากขึ้น

ความเสี่ยงอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลีย มีไม่มากเพราะปกติซัพพลายน้อยกว่าดีมานด์ แต่มีช่วงที่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติจากการขึ้นดอกเบี้ยสูงซึ่งอาจจะกระทบต่อผู้ซื้อทำให้ตลาดผิดปกติ เช่น วิกตอเรีย ที่แข็งแกร่งกลายเป็นตลอดที่อ่อนแอ และเดิมเพิร์ทตลาดที่อ่อนแอกลับมาแข็งแรง

แต่โดยรวมแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียยังไปได้ดี ขณะ 12 โครงการใหม่อยู่ในขั้นตอนดำเนินการและมีโครงการที่วางแผนพัฒนา 7 ปีนับจากนี้

หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,025 วันที่ 8 - 11 กันยายน พ.ศ. 2567