ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก 2 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี พบจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวนประมาณ 5,620 หน่วย ลดลง 2.2% คิดเป็นมูลค่า 33,132 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 2,908 หน่วย มูลค่า 17,553 ล้านบาท และเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,712 หน่วย มูลค่า 15,579 ล้านบาท
มีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 933 หน่วย มูลค่า 8,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 188.9% และ 362% ตามลำดับ
และมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 1,411 หน่วย มูลค่า 9,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143.7% โดยมีอัตราดูดซับของตลาดโดยรวมอยู่ที่ 4.2% ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 4,209 หน่วย ลดลง 18.5% เป็นมูลค่า 23,825 ล้านบาท ลดลง 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
พื้นที่สำรวจจังหวัดเพชรบุรี มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 2,455 หน่วย ลดลง 19.8% เป็นมูลค่า 10,598 ล้านบาท ซึ่งลดลง 16.1% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,012 หน่วย มูลค่า 4,793 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 1,443 หน่วย มูลค่า 5,805 ล้านบาท
และมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 69 หน่วย ลดลง 56.6% คิดเป็นมูลค่า 237 ล้านบาท ลดลง 45.8% ส่วนจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่มีจำนวน 423 หน่วย เพิ่มขึ้น 65.9% รวมมูลค่า 1,938 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 81.7% จากปีก่อน
สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายในพื้นที่จำนวน 2,032 หน่วย ลดลง 27.6% คิดเป็นมูลค่า 8,659 ล้านบาท ลดลง 25.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
REIC ยังได้คาดการณ์ปี 2567 ว่า จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 368 หน่วย มูลค่า 2,023 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 713 หน่วย มูลค่า 3,312 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 2,188 หน่วย มูลค่า 9,614 ล้านบาท
ด้านพื้นที่สำรวจจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 3,165 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.1% เป็นมูลค่า 22,534 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 39.3% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,700 หน่วย มูลค่า 10,787 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 1,465 หน่วย มูลค่า 11,748 ล้านบาท
และมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 864 หน่วย เพิ่มขึ้น 426.8% คิดเป็นมูลค่า 8,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 492.1% ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 988 หน่วย เพิ่มขึ้น 204.9% รวมมูลค่า 7,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 285.9%
สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายมี 2,177 หน่วย ลดลง 7.6% คิดเป็นมูลค่า 15,165 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
REIC คาดการณ์ ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 1,326 หน่วย มูลค่า 11,407 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 1,514 หน่วย มูลค่า 9,349 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 2,326 หน่วย มูลค่า 14,469 ล้านบาท
ในทางตรงกันข้าม ตลาดที่อยู่อาศัยภาคกลาง 2 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี มีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมด จำนวน 10,327 หน่วย มูลค่า 33,107 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.9% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 10.8% ตามลำดับ โดยเป็นโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 835 หน่วย เพิ่มขึ้น 56.4% เป็นมูลค่า 4,131 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 193% จากปีก่อน
ด้านที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่มีจำนวน 514 หน่วย ลดลง 63.4% มูลค่า 1,519 ล้านบาท ซึ่งลดลง 64.2% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 372 หน่วย มูลค่า 1,279 ล้านบาท และอาคารชุดเพียง 142 หน่วย มูลค่า 240 ล้านบาท
โดยมีอัตราดูดซับของตลาดโดยรวมเพียง 0.8% ส่งผลให้จำนวนหน่วยเหลือขายมีจำนวน 9,813 หน่วยเพิ่มขึ้น 20.2% คิดเป็นมูลค่า 31,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2%
ในพื้นที่สำรวจจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 7,883 หน่วย เพิ่มขึ้น 5.7% เป็นมูลค่า 26,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 6,926 หน่วย มูลค่า 24,517 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 957 หน่วย มูลค่า 1,498 ล้านบาท
โดยมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 451 หน่วย ลดลง 15.5% เป็นมูลค่า 2,881 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 104.3% ส่วนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่มีจำนวน 430 หน่วย ลดลง 64.6% มีมูลค่า 1,293 ล้านบาท ลดลง 66%
สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายมี 7,453 หน่วย เพิ่มขึ้น 19.4% มีมูลค่า 24,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 1,476 หน่วย มูลค่า 4,855 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 2,171 หน่วย มูลค่า 5,718 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 5,822 หน่วย มูลค่า 18,465 ล้านบาท
ในพื้นที่สำรวจจังหวัดสระบุรี มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 2,444 หน่วย เพิ่มขึ้น 15.9% เป็นมูลค่า 7,092 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20.5% โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,382 หน่วย มูลค่า 7,014 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 62 หน่วย มูลค่า 78 ล้านบาท
โดยมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 384 หน่วย มูลค่า 1,250 ล้านบาท ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 84 หน่วย ลดลง 55.1% คิดเป็นมูลค่า 227 ล้านบาท ลดลง 49.1%
สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขาย 2,360 หน่วย เพิ่มขึ้น 22.8% มีมูลค่า 6,865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ปี 2567 มีจะที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 450 หน่วย มูลค่า 1,467 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 218 หน่วย มูลค่า 509 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 2,088 หน่วย มูลค่า 5,974 ล้านบาท
ดร.วิชัย กล่าวเสริมว่า โดยภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยภาคกลาง และตะวันตก ครึ่งแรกปี 2567 อาจกล่าวได้ว่าทั้ง 2 ภาคมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตลาดภาคตะวันตกได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวโดยตรง สะท้อนผ่านตัวเลขการขายได้ใหม่ในกลุ่มของคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว แต่ยังต้องระวังการเติมอุปทานใหม่ในพื้นที่ที่มีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายจำนวนมาก เช่น โซนชะอำ
สำหรับภาคกลาง ตลาดยังคงประสบปัญหากำลังซื้อที่อ่อนแอ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโดยรวมและเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้การขายที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ แนะนำให้ผู้ประกอบการใช้โอกาสในไตรมาสสุดท้ายของมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง จัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขายที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท เพื่อเร่งระบายสต็อกที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายที่ยังมีอยู่มากในปัจจุบัน