สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตกำลังกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีและคอนโดมิเนียมในทำเลริมชายหาดที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
โดยเฉพาะผู้ซื้อจากจีน รัสเซีย และยุโรป ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตมีการเติบโตสวนทางกับหลายจังหวัดในประเทศไทย โดยเฉพาะในตลาดพูลวิลล่าและคอนโดมิเนียม ลักชัวรีที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังซื้อจากต่างชาติ
นายพัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล อุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เผยว่า ภูเก็ตเป็นหนึ่งในจังหวัดที่การลงทุนด้านอสังหากำลังร้อนแรง เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่มีความต้องการบ้านหลังที่สองซึ่งสามารถกลับมาอยู่ได้ทุกเมื่อ
นายพัทธนันท์ ระบุว่าในปี 2566 ภูเก็ตมียอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดกว่า 8,000 ยูนิต และในปี 2567 คาดว่าจะมีการโอนในจำนวนยูนิตที่ใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือมูลค่าที่พุ่งสูงขึ้นถึง 10,000 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการระดับลักชัวรีที่มีราคาสูงตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป กลายเป็นมาตรฐานที่ขายได้ดีและเป็นที่ต้องการสูงในตลาด
นอกจากนี้ วิลล่าที่อยู่ในโซนใกล้โรงเรียนนานาชาติและแหล่งท่องเที่ยวเช่น เกาะแก้ว บางเทา และหาดสุรินทร์ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยราคามักเริ่มต้นอยู่ที่ 30-50 ล้านบาท ทั้งนี้ ต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการนำเข้าวัสดุและราคานํ้ามันในภูเก็ตที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ยิ่งผลักดันให้ราคาที่ดินขยับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ด้านตลาดคอนโดมิเนียมก็เติบโตอย่างชัดเจนเช่นกัน โดยในปี 2567 คาดว่าจะมีโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 82 โครงการ รวมกว่า 20,000 ยูนิต เป็นจำนวนสูงกว่าช่วงก่อนโควิดที่มีจำนวนราว 18,000 ยูนิต
โดยทำเลที่เป็นที่นิยมคือทำเลที่อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าและแหล่งท่องเที่ยว เช่น ย่านในเมือง บางเทา หาดสุรินทร์ และราไวย์ ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้ชาวยุโรปบางส่วนอาจมองหาทำเลที่มีค่าใช้จ่ายตํ่ากว่า เมื่อยุโรปสามารถทำงานแบบ Work from Home ได้มากขึ้น
การย้ายมาอยู่ภูเก็ตก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากค่าครองชีพในไทยยังตํ่ากว่า อาหารหลากหลายและมีราคาสมเหตุสมผล เป็นปัจจัยที่น่าดึงดูดใจให้ชาวต่างชาติเลือกลงทุนที่ภูเก็ตมากขึ้น
นอกจากวิลล่าลักชัวรีแล้ว บ้านจัดสรรในภูเก็ตที่เน้นระดับราคากลาง-ล่างราว 2-3 ล้านบาทยังคงเป็นที่ต้องการในกลุ่มของลูกค้าชาวไทย จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่ดีขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19 ทำให้ประชากรจากจังหวัดรอบข้างเริ่มกลับเข้ามาทำงานในภูเก็ต ส่งผลให้ความต้องการของที่อยู่อาศัยมากขึ้น
ขณะเดียวกันบ้านระดับ 5-7 ล้านบาทยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่ในระดับราคานี้ยังเป็นกลุ่มคนไทย ที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยขนาดเล็ก หรือ SME โดยคาดว่ายังได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาจากวิกฤตโควิด-19 และยังฟื้นตัวได้ช้า
นายพัทธนันท์กล่าวเสริมว่า แม้ว่าราคาวัสดุอย่าง ปูน เหล็ก และนํ้ามัน ที่ผู้ประกอบการในภูเก็ตส่วนใหญ่ต้องใช้ขนส่งจากจังหวัดอื่นเพื่อนำมาพัฒนาโครงการจะมีส่วนทำให้ต้นทุนของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตสูงขึ้นขึ้นถึง 10-15% รวมถึงราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนเป็นเท่าตัว เนื่องจากภูเก็ตมีพื้นที่ราว 1 ใน 3 ของจังหวัดเท่านั้นที่สามารถพัฒนาโครงการได้
อย่างไรก็ตาม ภูเก็ตยังคงเป็นทำเลทองที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคหลักที่เป็นชาวต่างชาติ การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตส่วนใหญ่จึงอยู่ในระดับลักชัวรี เพื่อให้เหมาะสมกับดีมานด์และพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นโยบายการเพิ่มโควตาการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติที่ 45% และการขยายระยะเวลาเช่าระยะยาวเป็น 99 ปีจะกระตุ้นให้เกิดการซื้อคอนโดมากขึ้น
โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเก็ตที่มีเอกลักษณ์พิเศษในการลงทุนแบบลีสโฮลด์ ดังนั้น แม้ว่าการขยายระยะเวลาเช่าอาจไม่ได้ส่งผลมากนักต่อคอนโด แต่กลับมีแนวโน้มว่าจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจในกลุ่มพูลวิลล่า
นายกรมเชษฐ์ ยังได้เสนอแนวคิดการทดลองใช้มาตรการดังกล่าวเป็นเวลา 3 ปีเพื่อประเมินผล โดยระบุว่า ถ้าได้ทดลองก่อน เราก็จะได้เห็นผลจริง ถ้าดีก็สามารถดำเนินต่อ แต่ถ้าไม่ดีสามารถยกเลิกได้ รวมถึงคาดหวังว่าจะมีการขยายมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดคนไทยโดยเฉพาะ
นายพัทธนันท์ ยังกล่าวเสริมว่า นโยบายสำหรับต่างชาตินี้จะช่วยแก้ปัญหานอมินีที่เกิดจากชาวต่างชาติที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย โดยไม่ต้องเปิดบริษัทหรือทำสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปีต่อ 30 ปี การออกนโยบายใหม่นี้จะช่วยจัดการปัญหานอมินี ดึงกำลังซื้อต่างชาติที่มีคุณภาพ และช่วยให้ชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
สำหรับมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ โดยปกติผู้พัฒนาอสังหาฯ มักแบกรับค่าโอนเพื่อจูงใจผู้ซื้อ หากมีการขยายระยะเวลาของมาตรการลดค่าโอน จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในด้านการตลาด ลดต้นทุนให้กับผู้ซื้อ และทำให้การตัดสินใจซื้อเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,040 วันที่ 31 ต.ค. - 2 พ.ย. พ.ศ. 2567