ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยตัวเลขตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบใน 9 เดือนแรกของปี 2567 พบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยบ้านมือสองได้รับความนิยมสูงถึง 71% ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 52% ของมูลค่าการโอนรวม สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ปัจจัยสำคัญมาจากราคาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยบ้านมือสองมีราคาเฉลี่ยเพียง 2.16 ล้านบาท ในขณะที่บ้านสร้างใหม่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4.87 ล้านบาท หรือแพงกว่าถึง 2.3 เท่า ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองมีสัดส่วนสูงถึง 71% ของยอดโอนทั้งหมด
เมื่อวิเคราะห์ตามระดับราคา พบว่าบ้านราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท มีการโอนกรรมสิทธิ์ 233,363 หน่วย ลดลง 7.9% มูลค่า 522,358 ล้านบาท ลดลง 10.1% ขณะที่บ้านราคาเกิน 10 ล้านบาทมีการโอน 6,169 หน่วย ลดลง 6.2% มูลค่า 131,550 ล้านบาท ลดลง 1.7%
แม้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นตลาดด้วยการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท แต่ยอดโอนกรรมสิทธิ์โดยรวมยังคงหดตัว สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย
ที่น่าสนใจคือ สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในไตรมาส 3/2567 มีมูลค่า 154,168 ล้านบาท ลดลง 17.9% และลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 นับจากไตรมาส 4/2566 โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่ารวม 419,812 ล้านบาท ลดลง 16.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
REIC คาดการณ์แนวโน้มปี 2568 ว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% มูลค่า 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากทิศทางดอกเบี้ย และราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
การเติบโตของตลาดบ้านมือสองสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ โดยเฉพาะในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์สูงที่สุด สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการก่อหนี้มากขึ้น
จากข้อมูลทั้งหมดชี้ให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยบ้านมือสองจะยังคงเป็นตัวเลือกหลักของผู้บริโภค เนื่องจากราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าและสอดคล้องกับกำลังซื้อในปัจจุบัน