13 ตุลาคม 2564 เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
“ฐานเศรษฐกิจ” จึงได้นำหลักการออมเงินง่ายๆ ตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 มาให้ทุกๆ คนได้ลองนำไปปรับใช้เพื่อสร้างวินัยการออม
“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัวช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2502
ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นต้นแบบของ “พระมหากษัตริย์นักออม” แสดงให้เห็นถึงความประหยัด เรียบง่าย และพอเพียง ซึ่งเป็นสิ่งที่พสกนิกรชาวไทยสามารถน้อมนำแนวคิดมาปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นพระราชจริยวัตรที่พระองค์ทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างเป็นประจำเสมอมา
แนวคิดง่าย ๆ ที่ทุกคนนำไปประยุกต์ใช้ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว ดังพระราชดำรัสที่ว่า “การประหยัดอดออม เป็นรากฐานในการสร้างตัว สร้างฐานะบุคคล ตลอดจนความเจริญมั่นคงของสังคมและชาติบ้านเมือง” ....พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559
ในหลวง ร.9 พระมหากษัตริย์นักออม กับ 8 แนวคิดเรื่องการออม
1. ปลูกฝังการออมตั้งแต่เด็ก
ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงได้รับการปลูกฝังเรื่องการออมเงินจากสมเด็จย่า ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดยทรงได้รับเงินค่าขนมเพียงสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้รู้จักการบริหารเงินด้วยตนเอง ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
2. รู้จักออมเงิน
เมื่ออยากได้อะไรก็ให้เก็บเงินซื้อด้วยพระองค์เอง ครั้งที่พระองค์ทรงเรียนหนังสืออยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ได้กราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้จักรยาน เพราะเพื่อน ๆ คนอื่นมีจักรยานกันหมดแล้ว สมเด็จย่ารับสั่งตอบว่า “ลูกอยากได้ ลูกก็ต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญสองเหรียญ ได้มากค่อยเอาไปซื้อ" และเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ สมเด็จย่าก็ทรงสมทบเงินเพิ่มให้ไปอีกก้อนหนึ่งเพื่อนำไปซื้อจักรยาน ซึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ท่านก็ได้ทรงปั่นจักรยานแทนการประทับรถยนต์พระที่นั่งไปโรงเรียนด้วยพระองค์เองด้วย อันเป็นหนึ่งในต้นแบบแนวทางการประหยัดพลังงานในเวลาวิกฤต
ครั้งพระชนมายุเพียง 8 พรรษา ก็ทรงซื้อกล้องถ่ายรูป ด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ และเมื่อพระชนมายุ 10 พรรษา ทรงนำเงินที่เก็บออมไว้ซื้อเครื่องดนตรีชิ้นแรก คือ คลาริเน็ต
3.ออมเงินด้วยบัญชีเงินฝาก
ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงเก็บออมเงินด้วยบัญชีเงินฝากกับธนาคารเสมอมา ตามคำสอนของสมเด็จย่า โดยจะมีสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารออมสินส่วนพระองค์ ซึ่งมีเงินฝากเข้าเป็นประจำทุกๆ ปี ทั้งนี้พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการออมเงินเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงกำชับให้พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เห็นคุณค่าของการออมด้วยการให้เปิดบัญชีกับธนาคารออมสิน
"ถ้าเราสะสมเงินให้มาก เราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ยโดยไม่แตะต้องทุน แต่ถ้าเราใช้มากเกินไปหรือเราไม่ระวัง เรากินเข้าไปเป็นทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด"....พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2518
4. ประหยัด ใช้ของอย่างรู้คุณค่า
พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของการประหยัด มัธยัสถ์ ครั้งหนึ่งสมเด็จย่ามีพระดำรัสว่า “ในสวนจิตรเนี่ย คนที่ประหยัดที่สุดคือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประหยัดที่สุดทั้งน้ำ ทั้งไฟ เรื่องฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไม่มี”
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฉลองพระองค์ชุดเดิมมาเป็นเวลาหลายปี หากมีการชำรุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะโปรดให้ซ่อมแซม ปะ ชุน เปลี่ยนยางยืด ดินสอทรงงาน ที่พระองค์ทรงเบิกใช้เพียงปีละ 12 แท่ง ทรงใช้จนกุด แม้กระทั่งหลอดยาสีพระทนต์ ที่ทรงใช้จนแบนราบเรียบ
5. ทำบัญชีครัวเรือน รายรับ–รายจ่าย
ตามแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงริเริ่มที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน โดยการทำบัญชีครัวเรือน ก็คือ การบันทึกรายรับ-รายจ่าย ที่เกิดขึ้นในครัวเรือน เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมว่า ครอบครัวมีรายได้-รายจ่ายเท่าไหร่ มีเงินคงเหลือมากน้อยแค่ไหน
หากมีการทำบัญชีครัวเรือน จะช่วยให้ทราบว่า มีรายจ่ายไหนจำเป็น ไม่จำเป็นบ้าง เพื่อจะได้ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ซึ่งสิ่งสำคัญของการทำบัญชีครัวเรือนตามแนวคิดของพระองค์ คือ ให้มีการจัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งออมไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินหรือยามเกษียณด้วย
6. พอเพียง พอประมาณ ไม่สุดโต่ง
ตามความหมายของคำว่าพอเพียงของพระองค์ คือ การคำนึงถึงความพอประมาณ อย่างมีเหตุผล ที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
บางโอกาสที่พระองค์ทรงซื้อของขวัญชิ้นพิเศษเพื่อเป็นรางวัลให้กับตนเอง อย่างตอนที่พระองค์ทรงซื้อกล้อง ที่เป็นรุ่นตัวระดับสูง เนื่องจากต้องนำมาใช้ทรงงาน และเลือกดีแล้วว่ามีราคาที่เหมาะสม คุ้มค่าต่อการใช้งาน
"พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ"....พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540
7. ลงทุนควบคู่ไปด้วย
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ยังเป็นผู้ที่รู้จักนำเงินที่ออมได้มาลงทุนควบคู่กันไปด้วย เห็นได้จากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ที่เริ่มต้นลงทุนจากเงินสะสมส่วนพระองค์เพียง 32,866 บาท จนกลายเป็นโครงการที่เติบโตมาถึงทุกวันนี้
พระองค์ท่านรู้จักการลงทุนเพื่อหวังผลระยะยาว เริ่มแรกได้รับการถวายปลานิล จำนวน 50 ตัว จากสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ประเทศญี่ปุ่น พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองเลี้ยงปลานิลภายในสวนจิตรลดา หลังจากเลี้ยงไม่นาน มีทั้งรอดบ้าง ตายบ้าง มีปลานิลที่ยังคงเหลือเพียง 10 ตัวเท่านั้น จนกระทั่ง 1 ปี ผ่านไป พระองค์สามารถพระราชทานปลานิลให้กรมประมง 10,000 ตัว ทำให้ปัจจุบัน ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกปลานิลไปทั่วโลก
8. ต้องรู้จักให้ด้วย
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือราษฎร และทรงให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงโครงการตามพระราชดำริและพระราชกรณียกิจทุกโครงการ ที่ล้วนแสดงให้เห็นว่าพระองค์พร้อมจะให้ และเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมอย่างแท้จริง
ครั้งทรงพระเยาว์ ทรงตั้งกระป๋องออมสินที่เรียกว่า “กระป๋องคนจน” ไว้กลางที่ประทับ เมื่อพระองค์นำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูกเก็บภาษี ด้วยการต้องนำมาหยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือน สมเด็จย่าจะทรงเรียกประชุมเพื่อสอบถามความคิดเห็นว่า จะนำเงินสะสมที่ได้จากการเก็บภาษีไปใช้ทำอะไร เช่น อาจจะนำไปมอบให้เด็กกำพร้า เป็นต้น
นี่คือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติต่อเนื่อง จนเป็นต้นแบบของ "พระมหากษัตริย์นักออม"
ให้พวกเราคนไทยยึดถือเป็นแบบอย่าง ถือว่าเป็นแนวทางง่ายๆ แต่ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก สามารถปรับใช้เพื่อความเจริญรุ่งเรื่องของตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติต่อไป
ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุเเห่งชาติ