CBAM เริ่ม 1 ตุลาคม 2566...ผู้ส่งออกไทยต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ?

15 พ.ย. 2566 | 04:50 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ย. 2566 | 04:56 น.

ภายใต้มาตรการ CBAM ผู้ประกอบการและผู้นำเข้าสินค้าจากนอกอาณาเขต EU จะต้องปฏิบัติตามระเบียบของการนำเข้าสินค้า ซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission)

เป็นที่ทราบกันดีว่า กลไกการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) เป็นมาตรการของสหภาพยุโรป ในระยะแรก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 จะเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นเพียงช่วงทดลองเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ปรับตัว รวมถึง EU ด้วยสำหรับใช้ช่วงระยะเปลี่ยนผ่านนี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปปรับปรุงมาตรการต่อไป

โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือผู้นำเข้าสินค้าที่ต้องรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่ม ในระยะแรก มีจำนวน 6 กลุ่ม ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า ปุ๋ย อลูมิเนียม และเคมีภัณฑ์ (ไฮโดรเจน) โดยที่ยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน หรือ หรือ CBAM Certificates

ดังนั้น ภายใต้มาตรการ CBAM ผู้ประกอบการและผู้นำเข้าสินค้าจากนอกอาณาเขต EU จะต้องปฏิบัติตามระเบียบของการนำเข้าสินค้า ซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ก่อนการนำเข้าสินค้าข้ามพรมแดน EU ผู้ประกอบการโรงงานที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศนอกอาณาเขต EU จะต้องยื่นคำร้องต่อคณะกรรมาธิการ EU เพื่อขอลงทะเบียนในระบบ CBAM (CBAM Registry) จากนั้นคณะกรรมาธิการจะนำข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการและโรงงานไปใส่ในระบบลงทะเบียนและแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบ โดยบัญชีของผู้ประกอบการจะมีอายุการใช้งาน 5 ปี นับจากวันที่ได้รับแจ้ง 

2. เมื่อได้รับบัญชีในระบบลงทะเบียน CBAM แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องยื่นคำร้องขออนุญาตนำเข้าสินค้า หรือแต่งตั้งบุคคลที่จะเป็นผู้นำเข้าสินค้าในเขตศุลกากรของ EU ต่อผู้มีอำนาจตรวจสอบในประเทศที่ประสงค์จะนำเข้าสินค้านั้น ๆ ผ่านทางระบบลงทะเบียน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ในกรณีที่ไม่สามารถหาคนมาทำหน้าที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าได้ ผู้ประกอบการอาจแต่งตั้งตัวแทนออกของที่ได้ลงทะเบียนกับกรมศุลกากรเพื่อทำหน้าที่แทนผู้นำเข้าสินค้า หรือที่เรียกว่า Indirect Customs Representative

3. เมื่อข้อมูลข้างต้นได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการ EU และผู้มีอำนาจตรวจสอบของประเทศที่นำเข้าสินค้าและประเทศอื่น ๆ แล้ว ผู้นำเข้าสินค้าจะได้รับสถานะเป็นผู้นำเข้าที่ได้รับอนุญาต หรือที่เรียกว่า Authorized CBAM Declarant (สำหรับในระยะเปลี่ยนผ่าน เรียกว่า Reporting Declarant) และได้รับเลขที่บัญชี CBAM ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงระบบลงทะเบียนได้ 

ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะที่มีการส่งออกใน 6 กลุ่มสินค้าเป้าหมายไปยังสหภาพยุโรป ต้องทำความเข้าใจ เตรียมความพร้อม และดำเนินการ ดังนี้

  • ผู้ประกอบการไทย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าให้จากประเทศอื่น ๆ นอกอาณาเขตสหภาพยุโรป (Third Country Operator) ต้องประสานกับผู้นำเข้าสินค้าซึ่งขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องเป็น CBAM Declarant ในระบบ CBAM Registry เพื่อรายงานข้อมูลต่าง ๆ ตามที่มาตรการ CBAM กำหนด 
  • ผู้นำเข้าสินค้าที่ได้รับอนุญาตจะต้องส่งมอบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่นำเข้าระหว่างไตรมาสนั้น ๆ หรือ CBAM report แก่ผู้มีอำนาจตรวจสอบผ่านระบบลงทะเบียน CBAM ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือนหลังสิ้นสุดไตรมาสที่มีการนำเข้าสินค้า ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมจัดทำข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า หรือที่เรียกว่า Embedded Emissions (โดยในระยะเปลี่ยนผ่านยังไม่จำเป็นต้องมีผู้ทวนสอบมาทำการทวนสอบ Embedded Emissions) และปริมาณของสินค้านำเข้าแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม โดยระบุแยกตามโรงงานที่ผลิตสินค้านั้น ๆ ในประเทศต้นกำเนิดของสินค้านำเข้า เพื่อนำส่งให้ผู้นำเข้าสินค้านำไปส่งมอบรายงานข้อมูลดังกล่าว หรือเรียกว่า CBAM Report แก่ผู้มีอำนาจตรวจสอบผ่านระบบ CBAM Registry ต่อไป ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้าสินค้าต้องมีการสื่อสารและประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดแนวทางและแผนการทำงานร่วมกันในการรายงานข้อมูลเพื่อการติดตามตรวจสอบในระยะเปลี่ยนผ่านของมาตรการดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง หากคณะกรรมาธิการ EU ตรวจพบว่า CBAM Report ในแต่ละไตรมาสไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง คณะกรรมาธิการอาจแจ้งผ่านทางผู้มีอำนาจตรวจสอบ เพื่อให้ผู้นำเข้าสินค้าที่ได้รับอนุญาตดำเนินการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง หากผู้นำเข้าสินค้าไม่ดำเนินการแก้ไขหรือยื่นหลักฐาน CBAM Report ตามหลักการที่ระบุไว้ ผู้มีอำนาจตรวจสอบมีอำนาจเรียกเก็บค่าปรับกับผู้นำเข้าสินค้าได้ตามความเหมาะสม

Embedded Emissions จะคิดจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า ทั้งทางตรงกับทางอ้อมจากกระบวนการผลิตของสินค้า โดยมีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) แต่ทั้งนี้จะยกเว้นผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าที่ส่งขาย EU จะคิดเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Direct Emissions) ซึ่งมีวิธีการคิด ดังนี้
CBAM Embedded Emissions = Direct Emissions + Indirect Emissions (Electricity) + Indirect Emissions (Precursors)*
* ทั้งนี้ระเบียบ CBAM จะกำหนดไว้ว่าผลิตภัณฑ์ใดต้องพิจารณา GHG จากวัตถุดิบตั้งต้นบ้าง (Precursors)

1. Direct Emissions คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงในกระบวนการผลิต เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การทำปฏิกิริยาในกระบวนการผลิต การกำจัดก๊าซเหลือทิ้ง เป็นต้น

2. Indirect Emissions (Electricity) คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เกิดจากกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตสินค้า 

3. Indirect Emissions (Precursors) คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เกิดจากการผลิตวัตถุดิบตั้งต้น ที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้า 

ทั้งนี้ การรายงานค่า Embedded Emissions ในช่วงเปลี่ยนผ่านทั้ง 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ จะต้องรายงานค่า Embedded ตามหลักการข้างต้น สำหรับหลังช่วงเปลี่ยนผ่าน สินค้ากลุ่มเหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และไฮโดรเจน ให้คำนวณเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบทางตรง (Direct Emissions) ส่วนสินค้ากลุ่มอื่นๆ ให้คำนวณทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (Indirect Emissions)

โดยค่า Embedded Emission จะพิจารณาก๊าซเรือนกระจก 3 ชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), ไนตรัสออกไซด์ (N2O) และ เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ทั้งนี้ แต่ละผลิตภัณฑ์จะมีชนิดของก๊าซเรือนกระจกที่ต้องพิจารณาไม่เหมือนกัน เช่น

  • กลุ่มซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า เหล็กละเหล็กกล้า และไฮโดรเจน คิดเฉพาะก๊าซ CO2 
  • กลุ่มปุ๋ย คิดเฉพาะก๊าซ CO2 และ N2O 
  • กลุ่มอลูมิเนียม คิดเฉพาะก๊าซ CO2 และ PFCs 

สุดท้ายนี้ ผู้ประกอบการไทยจึงควรเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ โดยสามารถเริ่มจากการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสินค้าของตน ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการส่งออกสินค้ารู้วิธีการคำนวณหาค่า Embedded Emissions แล้วก็จะเป็นการง่ายต่อการรวบรวมข้อมูล เพื่อนำส่งให้ผู้นำเข้าสินค้านำไปส่งมอบรายงานข้อมูลดังกล่าว หรือเรียกว่า CBAM Report แก่ผู้มีอำนาจตรวจสอบผ่านระบบ CBAM Registry ต่อไป ตลอดจนผู้ประกอบการไทยสามารถนำมาต่อยอดในการวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า สร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถปรับตัวให้ทันกับกฎระเบียบต่าง ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

ที่มาข้อมูล : 
1. Ref. Ares(2023)4079551 - 13/06/202 COMMISSION IMPLEMENTING REGULATION (EU) …/...
2. Ref. Ares(2023)4079551 - 13/06/2023 ANNEXES, Commission Implementing Regulation (EU) …/..
3. Ref. กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
4. Ref. https://www.eeas.europa.eu/sites/default/files/documents/2023/Carbon%20Border%20Adjustment%20Mechanism.pdf