นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/66 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 1,117 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/2566
ทั้งนี้ มีปัจจัยมาจากจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียมเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปรับตัวลดลง หลังจากอุปทานน้ำมันจากประเทศรัสเซียยังคงมีการซื้อขายในตลาดอย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์ ราคาสารพาราไซลีนได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ในช่วงปลายฤดูร้อนของภูมิภาคเอเชีย ในขณะที่ราคาสารเบนซีนปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวส่งผลดี ทำให้ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดที่ใช้สารเบนซีนเป็นวัตถุดิบหลักมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น
ด้านธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวลดลง จากความต้องการใช้ในภูมิภาคที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน
"ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/66 ปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปสงค์มีแนวโน้มชะลอตัว จากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายหลังการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน"
นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่า มีแนวโน้มจะปรับตัว ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปทานน้ำมันที่ตึงตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2/66 หลังกลุ่มโอเปกพลัสที่นำโดยประเทศซาอุดิอาระเบีย และรัสเซียปรับลดการผลิตน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่อุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล รวมถึงมีการปิดซ่อมบำรุงกะทันหันของโรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ส่งผลให้สต็อกน้ำมันทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แม้ว่าจะมีปัจจัยความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์ได้เฝ้าระวังความผันผวนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และมีมาตรการติดตาม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและแสวงหาโอกาสในการสร้างรายได้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดอย่างต่อเนื่อง