คอลัมน์ Circular Economy ชีวิตดีเริ่มที่เรา
โดยกรีนเดย์
แต่จริง ๆ แล้วแหล่งพลังงาน เช่น แหล่งก๊าซธรรมชาติ แหล่งนํ้ามันดิบนั้น ถือจุดกำเนิดที่ทำให้มีไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และนํ้ามันเชื้อเพลิง หรือพลังงานต่าง ๆ ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งแหล่งพลังงานที่ใช้กันอยู่ ถูกผลิตขึ้นมาใช้อย่างยาวนานหลายสิบปีแล้ว จนทำให้มีปริมาณสำรองลดลง เรื่อย ๆ ประกอบกับมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น ตามการเติบโตและขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ ๆ และการรักษาระดับผลิตปิโตรเลียมให้ได้ปริมาณตามเป้าหมายและแผนที่วางไว้ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเริ่มต้นสำรวจหาแหล่งปิโตรเลียมไปจนถึงขั้นตอนการผลิตจะใช้ระยะเวลายาวนานหลายปี ประกอบกับแหล่งปิโตรเลียม ทั้งแหล่งก๊าซธรรมชาติ และแหล่งนํ้ามันดิบในปัจจุบัน เกือบทั้งหมดเป็นแหล่งที่มีการผลิตขึ้นมาใช้ประโยชน์เป็นเวลานานหลายสิบปี ทำให้ปริมาณสำรองลดน้อยลงทุกปี
ในปี 2567 จึงถือเป็นปีแห่งความท้าทายอีกปีหนึ่ง ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยที่จะมีการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบ 25 ในแปลงพื้นที่บนบก ครอบคลุมพื้นที่ 9 แปลง บริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แปลง และบริเวณพื้นที่ภาคกลางจำนวน 2 แปลง ซึ่งจะต้องดำเนินงานอย่างบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะในเรื่องรายละเอียดของการกำหนดพื้นที่สำหรับเปิดให้ยื่นขอสิทธิเพื่อการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และขั้นตอนการยื่นคำขอเข้าใช้พื้นที่ให้มีความชัดเจน เช่น การดำเนินกิจกรรมบนบกที่บางแปลงสัมปทานจำเป็นต้องมีการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อเข้าทำการสำรวจหรือผลิตในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นิคมสร้างตนเอง สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้รองรับการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกหรือ Bidding round รอบ 25 ที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีแผนจะเสนอรัฐบาลชุดนี้เพื่อดำเนินการต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ สร้างรายได้และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลกับรัฐบาลประเทศกัมพูชา เพื่อสร้างความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องผลประโยชน์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน หากการเจรจามีความคืบหน้า และมีแนวทางที่ชัดเจนก็จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ต่อไปได้
รวมถึงการเร่งติดตามการกำกับดูแลการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณ ให้สามารถกลับมาผลิตในปริมาณที่กำหนดไว้ตามแผนงานโดยเร็วที่สุด
อีกทั้ง เพื่อเป็นการสนับสนุนประเทศบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ.2065 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ยังต้องผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ซึ่งขณะนี้มีโครงการนำร่องด้านการกักเก็บคาร์บอน ในพื้นที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวให้มีความชัดเจน รวมทั้งการร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการหามาตรการจูงใจด้านการค้าและการลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน แม้จะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงทุกขั้นตอนได้ภายในเวลาเพียงปีเดียว แต่หากสร้างความชัดเจน และกำหนดทิศทาง กรอบความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ จะช่วยให้การดำเนินงานในขั้นตอนต่างๆ สามารถเดินหน้าโครงการต่างๆ ไปได้อย่างรวดเร็ว สามารถสร้างความต่อเนื่องจากการผลิตปิโตรเลียมในอนาคต เพื่อเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยอย่างยั่งยืนได้