รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า อุทกภัยและภัยพิบัติธรรมชาติซ้ำซากซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำและเกิดความยากจนแบบฉับพลันในไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากรายงานวิจัยของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP (United Nations Development Program) ประเมินว่า ในระดับโลกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทุกคน
แต่ประเทศยากจนและกลุ่มเปราะบางจะเป็นกลุ่มที่เผชิญกับผลกระทบรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น ด้วยปัจจัยทางทรัพยากรธรรมชาติ สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ด้านความยากจน ในปีพ.ศ. 2573 ประชากรมากกว่า 100 ล้านคนอาจเผชิญความยากจนขั้นรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ
และประชากร 200 ล้านคนอาจพลัดถิ่นจากภัยธรรมชาติ ประสบภาวะยากจนฉับพลันจากสภาพอากาศรุนแรงที่เพิ่มขึ้น ด้านความมั่นคงทางอาหารโลกสั่นคลอน ประชากรเกือบ 800 ล้านคนเผชิญความหิวโหยอย่างต่อเนื่อง และหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาจะมีประชากรอีก 189 ล้านคนที่ถูกผลักให้เผชิญความหิวโหย การพลัดถิ่น
ในปีพ.ศ. 2565 ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย 84% ลี้ภัยจากประเทศที่เปราะบางต่อสภาพอากาศ และด้านที่อยู่อาศัย เมืองชายฝั่งจำนวนมากที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคนกำลังเผชิญความเสี่ยงเพราะพื้นที่เมืองมากกว่า 90% จะกลายเป็นพื้นที่ชายฝั่ง
สำหรับประเทศไทยนั้น โดยภาพรวมมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 1% ของโลก แต่เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะถ้าปล่อยให้กรุงเทพฯและปริมณฑลจมทะเลจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ประเทศไทยจะเจอสภาวะอุทกภัยและภัยแล้งรุนแรงถี่ขึ้น เผชิญสภาพอากาศสุดขั้วเพิ่มขึ้นอันเป็นภาวะที่คนจำนวนน้อยไม่อยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจในการรับมือได้
จากการประชุม COP26 ประเทศไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเป็น 40% ภายในปี พ.ศ. 2573 ในปัจจุบันประเทศไทยมีแผนงานระดับชาติในการแก้ไขปัญหาก๊าซเรือนกระจกและความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รวมถึงการทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก แต่การลดก๊าซเรือนกระจกและลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมย่อมเกิดต้นทุนเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐต้องสร้างระบบและกลไกส่งเสริมให้มีการลงทุน เนื่องจากไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำแต่ได้ผลกระทบรุนแรง
ประเทศไทยจึงมีสิทธิอันชอบธรรมในการเรียกร้องให้ประชาคมโดยเฉพาะประเทศร่ำรวยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนสูงในการช่วยเหลือต่อไทยอย่างน้อย 3 ด้านตามข้อเสนอในงานวิจัยของ UNDP ประกอบด้วย