จากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีนำเข้าต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เพิ่มขึ้นเป็น 25% ขณะที่สินค้าประเภทพลังงานจากแคนาดามีอัตราภาษี นำเข้าเป็น 10% และสินค้าจากจีนมีอัตราภาษีนำเข้าเป็น 20% โดยจีนได้ ตอบโต้มาตรการดังกล่าว ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร และอาหารของสหรัฐฯ กว่า 10-15% รวมทั้งจำกัดการส่งออกและการลงทุนของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ กว่า 25 แห่ง
รวมถึงตลาดยังมีความกังวลต่อการจัดหานํ้ามันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังกลุ่ม OPEC+ ได้มีมติในการเพิ่มกำลังการผลิตนํ้ามันดิบกว่า 138,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2565
จากปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว ที่มีผลต่อการใช้นํ้ามันลดลง บวกกับปริมาณการผลิตนํ้ามันที่เพิ่มขึ้น จะเป็นแรงกดดันให้ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปอีก จากปัจจุบันที่ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ราว 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนราคานํ้ามันขายปลีกในไทย จะปรับตัวลดลงมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายตัวแปร เพราะในโครงสร้างของราคานํ้ามัน 1 ลิตร นอกเหนือจากต้นทุนค่านํ้ามันดิบ ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1.ต้นทุนนํ้ามันดิบและค่าการกลั่น (40-60%) 2. ภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (30-40%) ประกอบด้วยภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งรัฐนำไปใช้พัฒนาประเทศ
3. เงินเข้ากองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (5-20%) ส่วนนี้สำคัญ เพราะช่วยพยุงราคานํ้ามันในยามที่ราคาพุ่งสูงและ 4. ค่าการตลาด (10-18%) ของสถานีบริการนํ้ามัน
ดังนั้นเมื่อราคานํ้ามันผันผวน กองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง ภายใต้ พ.ร.บ.กองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 จึงเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพราคานํ้ามัน ไม่ให้เหวี่ยงแรงเกินไปในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคานํ้ามันเชื้อเพลิง ช่วยลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
หากราคานํ้ามันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น กองทุนนํ้ามันฯ จะนำเงินไปอุดหนุนให้ราคาขายปลีกในประเทศไม่กระโดดแรงเกินไป ในทางกลับกัน เมื่อราคานํ้ามันลดลง จะเก็บเงินเข้ากองทุนนํ้ามันฯ สะสมเงินไว้ใช้ในอนาคต รวมถึงการชำระหนี้ที่เกิดจากการอุดหนุนราคาในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ แม้เงินที่จัดเก็บเข้ากองทุนนํ้ามันฯ จะไม่ใช่สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในโครงสร้างราคานํ้ามัน แต่ก็เป็นกันชนที่ช่วยบรรเทาความผันผวน และลดภาระประชาชนไม่ให้ต้องแบกรับราคานํ้ามันที่สูงเกินไปได้ระดับหนึ่ง
ปัจจุบันฐานะของกองทุนนํ้ามันฯ เริ่มจะดีขึ้น (ข้อมูลล่าสุด 9 มีนาคม 2568) มียอดติดลบอยู่ที่ 64,528 ล้านบาท ลดลงจากที่เคยติดลบหนักถึง 90,609 ล้านบาท ในช่วงปลายปี 2567 แต่กองทุนนํ้ามันฯ ยังต้องรับบทหนักหรือยังมีภาระหนี้จากสถาบันการเงินกว่า 80,000 ล้านบาท ที่กู้มาเสริมสภาพคล่องในปี 2566 เพื่อใช้ในการพยุงราคานํ้ามัน
เท่ากับว่ากองทุนนํ้ามันฯ ยังต้องบริหารจัดการหนี้ก้อนนี้อย่างรอบคอบ เพื่อใช้เป็นกลไกรักษาเสถียรภาพของราคานํ้ามัน หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ทั้งจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์
ดังนั้น ราคานํ้ามันยังคงเป็นตัวแปรสำคัญของค่าครองชีพ และด้วยสถานการณ์พลังงานโลกที่ผันผวน รวมถึงมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบราคาพลังงานในอนาคต สิ่งที่ประชาชนทำได้ คือการช่วยกันประหยัดพลังงาน และใช้อย่างรู้คุณค่า เพราะการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในวันนี้ อาจช่วยให้เรารอดพ้นจากวิกฤตพลังงานในอนาคตได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง