นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาติดตามแนวโน้มสถานการณ์การค้าและการส่งออกอาหารจากพืช หรือแพลนต์เบสต์ฟู้ด (Plant Based Foods) และโอกาสทางการค้าของไทย เพื่อมุ่งเน้นการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของโลก เพื่อยกระดับอาหารไทยเป็นอาหารโลก
ทั้งนี้ แพลนต์เบสต์ฟู้ด ไม่มีนิยามที่ชัดเจน แต่ในความหมายที่คนส่วนใหญ่ที่เข้าใจร่วมกัน คือ อาหารที่มีส่วนประกอบจากพืชทั้งหมด ไม่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งพืชครอบคลุมทั้งผัก ผลไม้ ธัญพืช พืชหัว พืชฝักตระกูลถั่ว
ผลไม้แห้งเปลือกแข็ง เมล็ดพืช เห็ดรา และสาหร่าย เช่น สมาคมอาหารจากพืชของสหรัฐอเมริกา (PBFA) และสมาคมอาหารจากพืชของยุโรป (ENSA) ต่างนิยาม แพลนต์เบสต์ ฟู้ด ว่าหมายถึง อาหารจากพืชที่ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ โดยเน้นอาหารจากพืชที่ให้โปรตีนเป็นหลัก
โดย บลูมเบิร์ก (Bloomberg Intelligence) สำรวจสถานการณ์ตลาดแพลนต์เบสต์ฟู้ดของโลก คาดว่าในปี 2573 (ค.ศ. 2030) แพลนต์เบสต์ฟู้ดจะมีสัดส่วนประมาณ 7.7% ของแหล่งโปรตีนในตลาดโลก และมีมูลค่า 162,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จาก 29,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ค.ศ. 2020) โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าในปี 2573 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีประชากรถึง 4,600 ล้านคน เป็นตลาดที่สำคัญสำหรับโปรตีนจากพืช โดยมูลค่าตลาดจะสูงถึง 64,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จาก 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563)
สินค้าสำคัญสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คือ ผลิตภัณฑ์นมจากพืช ขณะที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือ และยุโรป จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และแอฟริกา ตะวันออกกกลาง และลาตินอเมริกา จะมีมูลค่าประมาณ 8,000-9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแต่ละภูมิภาค
ทั้งนี้ด้านสถิติการค้าระหว่างประเทศของสินค้าแพลนต์เบสต์ฟู้ด มีข้อจำกัดจากการที่แพลนต์เบสต์ฟู้ดไม่มีพิกัดศุลกากรแยกเฉพาะ ดังนั้น เพื่อให้เห็นทิศทางแนวโน้มของการค้าสินค้าดังกล่าว สนค. จึงใช้พิกัดศุลกากรระดับพิกัดฯ 6 หลัก กำหนดโดยองค์การศุลกากรโลก เพื่อให้ประเภทสินค้าตรงกันและสามารถเปรียบเทียบกัน โดยสินค้าโปรตีนจากพืชจะอยู่ภายใต้ประเภทและพิกัดศุลกากร 3 กลุ่มหลัก คือ
จากข้อมูลสถิติการค้าระหว่างประเทศของ Trademap.org พบว่า ในปี 2564 โลกส่งออกสินค้าโปรตีนจากพืช 3 กลุ่มข้างต้น มีมูลค่ารวม 69,297 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ 5 รายแรก ได้แก่ สหรัฐฯ มีมูลค่า8,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ11.6% ของมูลค่าการส่งออกของทั้งโลก สิงคโปร์ มีมูลค่า6,544 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ9.4% เยอรมนี มีมูลค่า5,966 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 8.6% เนเธอร์แลนด์ มีมูลค่า5,358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ7.7% และ จีน มีมูลค่า 2,960 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ4.3%
ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 6 ของโลก มีมูลค่า2,852 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 4.1% โดยผู้นำเข้าสำคัญ 5 รายแรกของโลก คือ สหรัฐฯ จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และแคนาดา
“ สินค้ากลุ่มใหญ่สุดที่มีการส่งออก คือ กลุ่มอาหารปรุงแต่งฯ มีมูลค่า 52,916 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ สหรัฐฯ และเยอรมนี รองลงมา คือ เครื่องดื่ม มีมูลค่า 13,289 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย และเนเธอร์แลนด์ และโปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน มีมูลค่า 3,092 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และเนเธอร์แลนด์”
สำหรับ การส่งออกของไทย ปี 2564 มีมูลค่า 2,852 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้ากลุ่มใหญ่สุดที่ไทยส่งออก คือ เครื่องดื่ม มีมูลค่า 1,502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดส่งออกสำคัญ คือ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา จีน และ สปป.ลาว รองลงมา คือ อาหารปรุงแต่งฯ มีมูลค่า 1,347 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตลาดส่งออกสำคัญ คือ สหรัฐฯ จีน เมียนมา ญี่ปุ่น และกัมพูชา และ โปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน มีมูลค่า 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดส่งออกสำคัญ คือ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สหรัฐฯ และเมียนมา
ทั้งนี้ พบว่าไทยมีความเข้มแข็งในการส่งออกสินค้าเครื่องดื่มซึ่งนมจากพืชอยู่ในกลุ่มนี้ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าส่งออก 1,502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีมูลค่า1,953 ล้านดอลลาร์สหรัฐและนมจากพืชเป็นสินค้ากลุ่มใหญ่สุดในตลาดอาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกนมถั่วเหลืองเป็นหลัก ยังมีโอกาสที่ไทยสามารถพัฒนาสินค้านมจากพืชให้หลากหลายและช่วยสนับสนุนภาคเกษตรไทย อีกทั้งสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์นมที่ทำจากพืช เช่น เนย ชีส โยเกิร์ต และไอศกรีม
สำหรับกลุ่มอาหารปรุงแต่ง มีสินค้าสำคัญในกลุ่มนี้ที่ไทยส่งออก เช่น ครีมเทียม ในปี 2564 ไทยส่งออกมูลค่า 323 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากพัฒนาสินค้าครีมเทียมเป็นครีมเทียมจากพืช ก็จะตอบโจทย์แนวโน้มตลาดที่มีความต้องการโปรตีนจากพืชมากขึ้น นมมะพร้าวออร์แกนิก เป็นอีกสินค้าที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ มีมูลค่าการส่งออกเติบโตสูง จาก 0.014 และ 0.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็น 5.3 ล้านเดอลลาร์หรัฐ ในปี 2562 2563 และ 2564 เป็นต้น
ทั้งนี้กฎระเบียบเป็นอีกเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง อาหารจากพืชมีประเด็นเช่น การติดฉลาก (Labelling) รัฐบาลบางประเทศออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดฉลาก เช่น แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส ตุรกี อินเดีย และสหรัฐฯ ในบางมลรัฐ เพื่อกำกับดูแลไม่ให้ผู้บริโภคสับสน เช่น ไม่ให้ฉลากอาหารจากพืชใช้ชื่อที่สื่อถึงความเป็นเนื้อสัตว์ จึงต้องศึกษาข้อมูลด้านการติดฉลากเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎระเบียบประเทศนำเข้า นอกจากนี้ อาหารจากพืชที่ผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ สามารถเข้าข่ายเป็นอาหารใหม่ (Novel Food) ซึ่งหมายถึง อาหารที่ทำจากวัตถุดิบที่ไม่เคยนำมาบริโภคเป็นอาหารมาก่อน มีประวัติการบริโภคเป็นอาหารมาไม่นาน หรือมีกระบวนการผลิต ในส่วนของไทยมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 376) พ.ศ. 2559 เรื่อง อาหารใหม่ (Novel Food) เป็นต้น