"ภาวะโลกร้อน” กำลังทำแหล่งน้ำเหือดแห้ง กระทบประมง-สัตว์น้ำ-การผลิตไฟฟ้า

23 ก.ค. 2566 | 17:10 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2566 | 23:06 น.

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเตือน อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น กำลังมีผลทำให้กว่าครึ่งของทะเลสาบขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลกเหือดแห้ง

 

การศึกษาชิ้นใหม่ที่มีการเผยแพร่ออกมาในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาชี้ว่า นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา กว่าครึ่งหนึ่งของ ทะเลสาบ และ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วโลก ประสบภาวะ ปริมาณน้ำลดลง จนแทบเหือดแห้ง ซึ่งสาเหตุหลักมาจาก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับ “ทรัพยากรน้ำ” เพื่อการเกษตร การประมง การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และการใช้น้ำเพื่อการบริโภคของผู้คน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงทีมนักวิจัยนานาชาติที่ได้ทำการศึกษาและออกมาระบุว่า แหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของโลกบางแห่ง เช่น บริเวณตั้งแต่ทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) ระหว่างยุโรปและเอเชีย ไปจนถึงทะเลสาบติติกากา (Lake Titicaca) ในอเมริกาใต้ ได้สูญเสียน้ำในอัตราสะสมประมาณ 22 กิกะตัน หรือราว 22 ล้านล้านล้านกิโลตันต่อปี เป็นเวลานานเกือบสามทศวรรษแล้ว โดยปริมาณดังกล่าวนั้นคิดเป็นราว 17 เท่าของอ่างเก็บน้ำเลคมีด (Lake Mead) ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ฟางฟาง เหยา นักอุทกวิทยาผิวดินจากมหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย (University of Virginia) หัวหน้าคณะนักวิจัยที่ทำการศึกษาและจัดทำรายงานซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science อธิบายว่า 56% ของการลดลงของทะเลสาบธรรมชาติเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนและการบริโภคของมนุษย์ โดยสาเหตุภาวะโลกร้อนอยู่ในสัดส่วนที่มากกว่า

ทะเลสาบเดดซี ในตะวันออกกลาง

ภายใต้ทฤษฎีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศมีความเชื่อว่า สภาพการดังกล่าวจะทำให้พื้นที่แห้งแล้งในโลกมีแนวโน้มที่จะแห้งแล้งมากยิ่งขึ้น และพื้นที่ชื้นก็จะยิ่งชื้นมากขึ้น แต่จากการศึกษาพบว่า มีการสูญเสียน้ำอย่างมากแม้แต่ในพื้นที่ที่มีความชื้น นักอุทกวิทยาผิวดินจึงย้ำว่า “สิ่งนี้เป็นประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม”

นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการประเมินทะเลสาบขนาดใหญ่เกือบ 2,000 แห่งทั่วโลก และทำการวัดโดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียม ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศและอุทกวิทยา ก่อนจะพบว่า ระดับน้ำในทะเลสาบทั่วโลกลดลง เพราะมนุษย์ใช้น้ำอย่างไม่คำนึงถึงความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนและน้ำในลำธาร รวมถึงการกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวดินตามธรรมชาติ และอุณหภูมิที่สูงขึ้น อีกทั้งยังพบว่า ราว 53% ของระดับน้ำในทะเลสาบทั่วโลกลดลงในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1992 ถึงปี 2020

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชากรเกือบ 2 พันล้านคนทั่วโลกที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณทะเลสาบและอ่างเก็บน้ำที่เหือดแห้งลง ในขณะที่หลายภูมิภาคต้องเผชิญปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของผู้คน เนื่องจากการเหือดแห้งของแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณสัตว์น้ำ การทำประมง รวมถึงการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน 

ทะเลอารัล (Aral Sea) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างคาซัคสถาน และอุซเบกิสถาน

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์และเหล่านักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้ออกมาเตือนในประเด็นที่ว่า มนุษย์จำเป็นต้องป้องกันไม่ให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮต์) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่า ในความเป็นจริงนั้น อุณหภูมิของโลกได้ปรับสูงขึ้นไปแล้วราว 1.1 องศาเซลเซียส (1.9 องศาฟาเรนไฮต์)

ภาพถ่ายทางอากาศทะเลอารัลซึ่งปริมาณน้ำเหือดแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด

การศึกษาชิ้นนี้ ยังเผยด้วยว่า การที่มนุษย์ใช้น้ำอย่างไม่คำนึงถึงความยั่งยืน ทำให้ทะเลสาบต่าง ๆ ต้องเผชิญความแล้ง เช่น ทะเลอารัล (Aral Sea) ในเอเชียกลาง และทะเลเดดซี (Dead Sea) ในตะวันออกกลาง ขณะที่ ทะเลสาบในอัฟกานิสถาน อียิปต์ และมองโกเลีย ก็กำลังได้รับผลกระทบของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้พื้นที่ดังกล่าวสูญเสียปริมาณน้ำมากขึ้นไปอีก

ข้อมูลอ้างอิง