นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทฯวางงบลงทุน 3 ปี (ปี 66-68) ไว้ที่ 1,000 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 3.2-3.4 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 50% จะใช้รองรับโครงการ CFP และโรงไฟฟ้า SPP คาดว่าจะให้บริการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในเดือนเม.ย.นี้
ส่วนอีกประมาณ 270 ล้านเหรียญฯ จะลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมี ขยายโรงงานแห่งที่ 2 ในอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะสรุปได้ในช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้ และอีก 220 ล้านเหรียญฯ จะใช้ปรับปรุงในเรื่องต่างๆ และการลงทุนในสตาร์ทอัพ
สำหรับปีนี้บริษัทฯ จะใช้เงินลงทุนราว 570 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการ CFP โดยทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยอมรับว่ารายได้จะปรับตัวลงเหลือราว 4 แสนล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 5.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากค่าการกลั่น GRM สิงคโปร์กลับมาสู่ระดับปกติ
โดยปัจจุบันอยู่ที่ 7-8 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่อยู่ที่ 6-8 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ยังต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ 10.7 เหรียญต่อบาร์เรล อีกทั้งคาดการร์ราคาน้ำมันดิบครึ่งแรกของปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 80-85 เหรียญ/บาร์เรล ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีแรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนสูงอยู่
อย่างไรก็ดี คาดการณ์ปริมาณการขายน้ำมันปีนี้โต 4-5% โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานที่คาดโตได้กว่า 50% จากการเดินทางหนุน และความต้องการใช้น้ำมันที่เติบโตขึ้น อีกทั้งในปีนี้ TOP จะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ทำให้เดินเครื่องกำลังการผลิตได้เต็ม 100% ประมาณ 3 แสนบาร์เรลต่อวัน