นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไทยออยล์ วางเป้าหมายปี 73 จะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products) อยู่ที่ 40% ใกล้เคียงกับปัจจุบัน, ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ต่อยอดจากปิโตรเคมี 30% ลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 40%
,ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและธุรกิจใหม่ 25% เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ New S-Curve ที่ 10% และธุรกิจไฟฟ้า 5% ลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 10% เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเลียมไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงบริษัทฯ จะเร่งดำเนินการในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วกว่า 90.1% คาดว่าจะสามารถ COD ในทุกหน่วยการผลิตได้ในไตรมาส 1/68 ส่งผลทำให้กำลังการผลิตจะปรับตัวขึ้นประมาณ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน
จากเดิมที่ยังไม่มีโครงการ CFP มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่จากการเร่งดำเนินการ บริษัทฯ คาดจะมีหน่วยการผลิตน้ำมันยูโร 5 แล้วเสร็จก่อนกำหนด หรือคาดจะ COD ได้ในไตรมาส 1/67 อีกทั้งยังช่วยหนุนค่าการกลั่น GRM เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
นอกจากนี้ จะมุ่งผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง อย่าง F44 Jet Fuel โดยปัจจุบัน TOP มีสัดส่วนการขายน้ำมันอากาศยาน (Jet) มากที่สุดในประเทศไทยถึง 50%, น้ำมันยางรถยนต์ที่มีมลพิษต่ำ (TDAE/LRAE), ยางมะตอย (Emulsified Asphalt) และน้ำมันยาง (150LFO) เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ต่อยอดจากปิโตรเคมี (Petchem&HVPs) จะต่อยอด Value Chain ทั้งอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ โดยวางเป้าหมาย 3 ขั้นตอนสู่ HVPs ได้แก่
นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและธุรกิจใหม่ๆ (High Value Business) จากการศึกษาของบริษัทฯ ได้ข้อสรุปว่าจะมุ่งไปสู่ธุรกิจสารเคมีที่ใช้เพื่อการยับยั้งและกำจัดเชื้อโรครวมถึงสารลดแรงตึงผิวที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (Disinfectants & Surfactants) ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมาก
และเข้ามาตอบโจทย์เทรนด์การดูแลส่วนบุคคล (Personal care),การดูแลที่อยู่อาศัย (Home care) เป็นต้น โดยจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้
ส่วนธุรกิจ New S-Curve บริษัทฯ ได้มุ่งสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต Biojet, Bio-Chemicals & Bio-Plastics โดยอยู่ระหว่างศึกษาว่าจะสามารถทำ Bio LAB ได้หรือไม่ ,H2/CCU/CCS ศึกษาใช้พลังงานทดแทนผลิตไฮโดรเจน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการลงทุนในสตาร์ทอัพไปบ้างแล้ว และ CVC ลงทุนในสตาร์ทอัพ
ทั้งนี้ "ไทยออยล์" ยังเตรียมความพร้อมนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันพื้นฐาน อะโรเมติกส์ และโอเลฟินส์ ขยายตลาดไปต่างประเทศในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย และยังวางเป้าหมายขยายไปทั่วโลกในอนาคต