Theguardian รายงานข่าวคราวการวางแผนที่จะประกาศการลงทุนที่ไม่เคยมีมาก่อนมูลค่า 20 พันล้านปอนด์ในช่วงสองทศวรรษข้างหน้าในโครงการดักจับคาร์บอนและโครงการพลังงานคาร์บอนต่ำตั้งแต่ปีหน้าของสหราชอาณาจักร ด้วยเหตุผลที่ว่าการดักจับและกักเก็บคาร์บอนเป็นกระบวนการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเหล็กและซีเมนต์ การขนส่ง แล้วกักเก็บไว้ในแหล่งกักเก็บใต้ดิน
ปี 2021 สหราชอาณาจักรปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 425 ล้านตัน ลดลงเกือบ 50% ตั้งแต่ปี 1990 รัฐบาลหวังว่าจะกักเก็บ CO2 ได้ 20-30 ล้านตันต่อปีภายในปี 2573 เท่ากับการปล่อยก๊าซจากรถยนต์ 10-15 ล้านคัน สหราชอาณาจักรได้กำหนดเป้าหมายทางกฎหมายเพื่อให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ความพยายามในการสร้างกำลังการผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ในสหราชอาณาจักรถูกรุมเร้า ตั้งแต่การเริ่มต้นที่ผิดพลาดหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงความล่าช้า
โดยถูกมองว่า เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลสำหรับการอนุญาตให้มีเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ แม้จะมีการอ้างว่าจะทำให้เป็น Net Zero แต่นักวิจารณ์คิดต่างออกไปว่า เทคโนลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์นั้นไม่ได้ใช้งานเชิงพาณิชย์ในสหราชอาณาจักร
แล้ว เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS คืออะไร
เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS)
เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่สามารถช่วยให้ประเทศออสเตรเลีย บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ได้ ซึ่งเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) คือ การดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่แหล่งกำเนิด และกักเก็บไว้ใต้ดิน
เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนทำงานอย่างไร
การ "ดักจับ" มักติดตั้งบริเวณที่มีการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมาก เช่น โรงงานผลิตไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล และโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อผลิตซีเมนต์หรือเหล็กกล้า โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในปัจจุบันมักจะใช้ของเหลวเพื่อทำปฏิกิริยาเคมีกับฝุ่นควันปากปล่องเพื่อดักจับคาร์บอนก่อนที่จะถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกกลั่นให้มีสภาพเป็นของเหลวเพื่อขนส่งไปยังพื้นที่ "กักเก็บ" ผ่านท่อ เมื่อถึงปลายทางคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของเหลวก็จะถูกฉีดกลับเข้าไปในช่องใต้ผิวโลก ระดับความลึกอย่างน้อย 750 เมตร มักเป็นบ่อน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติที่ถูกขุดเจาะขึ้นมาใช้จนหมดแล้ว
บริษัทบางแห่งยังหาทางนำคาร์บอนไปใช้งานโดยใช้เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน (Enhanced Oil Recovery หรือ EOR) โดยฉีดกลับเข้าไปในบ่อน้ำมันที่ยังดำเนินการอยู่เพื่อให้สามารถผลิตน้ำมันให้ได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากการใช้งานข้างต้น ยังมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำคาร์บอนที่ดักจับได้ไปผสมกับวัสดุอื่นๆ เช่น ซีเมนต์และคอนกรีต เชื้อเพลิง พลาสติก คาร์บอนไฟเบอร์และกราฟีน เพื่อเสริมให้วัสดุมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
อีกแนวคิดหนึ่งคือการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศทางตรง (Direct Air Capture) ด้วยกระบวนการทางเคมี
การดักจับคาร์บอนทั่วโลก
Global CCS Institute รายงานว่า กันยายนปีที่เเล้ว มีโรงงานดักจับคาร์บอนเพียง 30 แห่งทั่วโลก และเกือบทั้งหมดติดกับโรงงานอุตสาหกรรมที่ดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การแปรรูปก๊าซธรรมชาติหรือการผลิตปุ๋ย
การดักจับคาร์บอน กู้โลกรวน ร้อนได้จริงไหม
ในปัจจุบัน วิกฤติภูมิอากาศเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ทั่วโลกต้องรีบหาทางรับมือ หากถามว่าการดักจับคาร์บอนต่อสู้กับโลกร้อนได้ไหม คำตอบคือได้ เพราะก็ถือว่ามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องต่อสู้ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ มากมาย
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวการหลักที่ก่อให้เกิดโลกร้อนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งคาร์บอนถูกกำจัดและป้องกันออกจากชั้นบรรยากาศมากเท่าไหร่ โลกก็จะยิ่งอบอุ่นน้อยลง เเต่ถึงอย่างนั้นกระบวนการนี้อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร เเละมีข้อโต้แย้งว่า พลังงานหมุนเวียนเป็นการลงทุนที่ดีกว่าการดักจับคาร์บอนเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ข้อมูล : terrapass , bbc , sciencedaily