การจัดเก็บ "ภาษีพลาสติก" (Plastic Tax) หรือ ภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติก (Plastic Packaging Tax: PPT) ถือเป็นมาตรการทางภาษีรูปแบบใหม่ ที่เรียกเก็บเงินหรือค่าธรรมเนียมจากผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือประเทศสมาชิก ที่ผลิต นำเข้า หรือใช้ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและย่อยสลายยาก ซึ่งไม่รวมบรรจุภัณฑ์ พลาสติกที่มาจากการรีไซเคิล
นั่นเพราะในปัจจุบัน โลกกำลังประสบปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ซึ่งพลาสติกก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้รุนแรงขึ้น ทั้งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปัญหาขยะ ไปจนถึงการตกค้างของไมโครพลาสติกในร่างกายของมนุษย์
ดังนั้นประเทศต่าง ๆ จึงเริ่มออกมาตรการมาเพื่อควบคุมปริมาณการผลิตและลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือพลาสติกที่ย่อยสลายยาก ซึ่งการเรียกเก็บภาษีพลาสติก หรือ ภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติก ก็ถือเป็นมาตรการหนึ่งในการควบคุมปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม
แนวคิดเกี่ยวกับภาษีพลาสติก
มาตรการภาษีเป็นมาตรการภาครัฐประเภทหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้ประเทศสามารถบรรลุความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำหนดให้ทุกประเทศร่วมมือกันในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีประเทศเข้าร่วมเป็นภาคีแล้ว194 ประเทศ
ต่อมาในการประชุม COP26 ปี 2564 มีมติให้ประเภทศภาคีปรับปรุงเป้าหมาย “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” ให้พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้น ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปีค.ศ. 2050 หรือปี พ.ศ. 2593) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปีค.ศ. 2065 หรือปี พ.ศ. 2608)
ทั้งนี้ในทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือที่สามารถการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ เนื่องจากการจัดเก็บภาษีพลาสติกและบรรจุภัณฑ์พลาสติกจะทำให้ต้นทุนการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย รวมถึงการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้น ทำให้พฤติกรรมการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเปลี่ยนไป
ขณะที่ผู้ผลิตอาจเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย ผู้ใช้ และผู้บริโภคอาจเลือกใช้สินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้หรือบรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้ซ้ำแทน และท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ปริมาณขยะพลาสติกลดลง ในขณะที่ภาครัฐก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น
ไทยส่งออกพลาสติกจำนวนมาก
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานข้อมูลสำคัญว่า ในปี 2564 ไทยส่งมีมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก 140,772.17 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.07% ของมูลการส่งออกรวม เพิ่มขึ้นจากปี 2563 หรือคิดเป็น 13.46%
สำหรับในปี 2565 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ พลาสติกเป็นมูลค่า 158,016.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 12.25% โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของ ไทย 5 อันดับได้แก่
ถึงแม้ว่าตลาดสำคัญของไทยจะยังไม่มีการจัดเก็บภาษีพลาสติก แต่ในอนาคตมีแนวโน้มที่ตลาดเหล่านี้ จะจัดเก็บภาษีพลาสติก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกอันดับ 1 ของไทย อยู่ระหว่าง จัดทำร่างกฎหมาย Reduce Act of 2021 ซึ่งย่อมส่งผลให้ผู้ส่งออกมีต้นสูงขึ้น
แนะแนวทางการปรับตัวรองรับ
ดังนั้น ประเทศไทยต้องเตรียมการ รองรับปรับตัว และแสวงหาโอกาสทางการตลาดในการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของ ผู้บริโภค เช่น
ข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า