นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า IRPC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่องค์กร Net Zero Emission ด้วยการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในเขตประกอบการอุตสาหกรรม IRPC ภายใต้โครงการ Floating Solar Farm ส่วนขยาย เพิ่มการผลิตไฟฟ้าได้อีก 8.5 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 4 ปีนี้
และร่วมโครงการปลูกป่า 2 ล้านไร่ กับกลุ่ม ปตท. รวมถึงกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับการรับรองให้เป็นองค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก (Climate Action Leading Organization) ของเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network: TCNN) ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี IRPC ยังได้ดำเนินโครงการ From Wastes to Walk ร่วมกับโรงงานทำขาเทียมภายใต้มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจำนวน 95 แห่งทั่วประเทศ และหน่วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เก็บรวบรวมชิ้นส่วนพลาสติกที่เหลือจากการผลิตกายอุปกรณ์ โดยนำกลับมาพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพที่โรงงานของ IRPC และส่งกลับไปผลิตเป็นอุปกรณ์เสริมร่างกายให้กับผู้ป่วยและผู้พิการต่อไป
"IRPC เดินหน้าสู่องค์กรแห่งนวัตกรรม ดำเนินธุรกิจควบคู่การสร้างสมดุลให้กับสังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนให้ความสำคัญกับการบูรณาการความยั่งยืนในการดำเนินงาน ภายใต้หลักธรรมาภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social and Governance)"
นายกฤษณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ช่วงไตรมาส 1/2566 ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในประเทศเริ่มฟื้นตัว จากการเปิดประเทศของจีนส่งผลต่อการท่องเที่ยวของไทยขยายตัวสูงขึ้น ประกอบกับโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯ กลับมาผลิตตามปกติหลังจากเสร็จสิ้นการซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Turnaround) ในไตรมาส 4/2565 (1 เดือน)
รวมถึงต้นทุนราคาน้ำมันดิบ (Crude Premium) ปรับตัวลดลง ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกในประเทศกลุ่มบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และป้ายโฆษณา และช่วงฤดูร้อนยังสนับสนุนให้ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ จากปัจจัยข้างต้นส่งผลต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 75,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,679 ล้านบาท หรือ 38% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นถึง 62% แม้ราคาขายเฉลี่ยลดลง 24% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง
ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 7,084 ล้านบาท หรือ 11.80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 172% เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบ (Crude Premium) ปรับตัวลดลง
ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 5,342 ล้านบาท หรือ 8.90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขาดทุนจาก Accounting GIM ถึง 4,207 ล้านบาท หรือ 10.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,450 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 7,149 ล้านบาท
แนวโน้มตลาดปิโตรเคมี ในช่วงไตรมาส 2/2566 ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับสูงขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่มีสต๊อกสินค้าระดับสูง ขณะที่ความต้องการในภูมิภาคยังคงระดับต่ำจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะความกังวลวิกฤตการเงินของธนาคารหลายแห่งทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป
ซึ่งมีโอกาสลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันก็มีกำลังการผลิตใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งจากประเทศจีน มาเลเซียและเวียดนามจะเป็นแรงกดดันให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในภูมิภาคเอเชียลดลง
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/2566 คาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักจากการเปิดประเทศของจีน รวมถึงธุรกิจการบินมีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวใกล้ถึงระดับก่อนการระบาดของ COVID-19 สำหรับปริมาณสินค้า(อุปทาน) คาดว่าจะมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น เนื่องจากโอเปกและพันธมิตรมีมติลดการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มเติมถึง 1.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงสิ้นปี 2566)
ประกอบกับเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัสเซียได้ประกาศขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันดิบ 0.50 ล้านบาร์เรลต่อวันถึงสิ้นปี 2566อย่างไรก็ดีคาดว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะมีแรงต้านจากความต้องการบางส่วนหายไป เนื่องจากเข้าสู่ฤดูปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงไตรมาส 2/2566
นายกฤษณ์ กล่าวต่อไปว่า แม้ช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ จะกลับมามีกำไร แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนประกอบธุรกิจ และความต้องการสินค้า ขณะที่ราคาน้ำมันดิบก็ยังมีความผันผวน ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวทำให้ผลประกอบการตลอดทั้งปีตามแผนมีความท้าทายยิ่งขึ้น
บริษัทฯ เร่งปรับตัวเพื่อบรรเทาผลกระทบที่มีต่อธุรกิจ มุ่งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน พิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบโดยปรับแผนการผลิตและการบริหารจัดการสต็อกวัตถุดิบเพื่อลดความเสี่ยงด้านราคา การปรับลดค่าใช้จ่าย ตลอดจนใช้ประโยชน์จากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันและโรงปิโตรเคมี ที่ซ่อมบำรุงแล้วเสร็จอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้พลังงานน้อยลงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม