นายสาครินทร์ ตังคะวชิรานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจไฟฟ้า บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากนโยบายพรรคก้าวไกลที่ระบุว่าจะมีการแก้ไขสัญญากลุ่มโรงไฟฟ้านั้น ในความเป็นจริงแล้วหากดูในช่วงที่ผ่านมา การหาเสียงของพรรคการเมืองมีมากมาย ในส่วนของนโยบายบไม่ผิดอะไร แต่สุดท้ายก็มองว่าจะมีทั้งสิ่งที่ทำได้และทำไม่ได้ ซึ่งต้องดูรายละเอียดที่มีมากมาย
ส่วนสัญญาในอนาคตนั้น ในความคิดเห็นส่วนตัวเห็นด้วยที่นโยบายของพรรคจะชะลอบางเรื่องที่ยังไม่ลงทุน แต่บางเรื่องที่ลงทุนไปแล้วในบางจังหวะอาจทำให้ประเทศเสี่ยงด้านความมั่นคง จึงต้องมองหาความสมดุล ต้องมองที่รายละเอียด เพราะที่บางพรรคหาเสียงนั้น หากเป็นโซลาร์ทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะบางเวลาพลังงานหมุนเวียนไม่เสถียร
"จะเห็นว่าประเทศไหนที่ดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปแล้วจะยากที่จะแก้ไข ดังนั้น การจะฉีกสัญญาเลยก็อาจจะยาก เพราะมีการลงทุน เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าต้องใช้เวลา 5 ปี ซึ่งโครงสร้างสัญญาที่มีการทำมาระดับ 20 ปี สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาที่พบ คือ ค่าไฟที่จะขึ้นลงตามความต้องการใช้ และกำลังการผลิตไม่ลงตัวกัน อาจจะเพราะปัญหาโควิด-19 ที่ทำให้คาดการณ์ปริมาณการใช้ไฟไว้คลาดเคลื่อน จึงไม่สามารถฟันธงได้ว่าสัญญาที่ทำไว้นั้นผิด"
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องรีบแก้ปัญหาคือปัญหาคาราคาซังของรัฐบาลชุดก่อนที่มีการเซ็นสัญญาสร้างโรงไฟฟ้าต่างๆจำนวนมาก ซึ่งการแก้ปัญหาต้องไม่ใช่การเข้าไปรื้อทันที เพราะแต่ละโรงไฟฟ้ามีสัญญาอยู่ การฉีกสัญญาทำไม่ได้แน่นอน
สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องทำคือต้องแก้ 3 สมการไปพร้อมกัน คือ
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวนี้มีทางออกที่ทำได้ แต่รัฐบาลเก่าไม่ยอมฟัง แต่เชื่อว่ารัฐบาลใหม่ต้องกำเนินการ โดยสิ่งที่สำคัญคือต้องมีนโยบายให้ประเทศไทยใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น ในราคาที่ถูกลง