นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยในงานสัมนา "Go Thailand Green Economy Landbridge โอกาสทอง?" ซึ่งจัดโดยพ์ฐานเศรษฐกิจ ในการบรรยายาพิเศษหัวข้อ "นโยบายลงทุนไทย ภายใต้บริบทใหม่" ว่า Climate Change เป็นปัจจัยแรกที่มีผลอย่างมากต่อทิศทางการลงทุนในอนาคต โดยจากการเดินทางไปจัดกิจกรรมในต่างประเทศจะพบว่านักลงทุนต่างให้ความสำคัญกับเรื่องการลดคาร์บอนเป็นหลัก รวมถึงการใช้พลังงานสะอาดในกิจการ การทำตามขั้นตอนในการลดคาร์บอน
"จากวิเคราะห์ปัจจัยที่จะมีผลต่อการลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าจะพบว่ามีหลายปัจจัย เช่น สภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และกฏกติกาภาษีใหมาของโลก"
โดยการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมตามแนวคิด BCG ในระยะต่อไปนั้น มีเป้าหมายในการทำให้มูลค่าเศรษฐกิจอุตสาหกรรม BCG เพิ่มขึ้นจาก 21% เป็น 24% ของ GDP ในปี 2570 หรือจาก 3.4 เป็น 4.4 ล้านล้านบาท (เป้าประเทศ) และมุ่งสู่การเป็น BCG Hub ของอาเซียน
ผ่านมาตรการผลักดันการลงทุนสีเขียวตามแนวคิด BCG ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ภาคพลังงาน และภาคการขนส่ง เช่น ส่งเสริมการลงทุน Biocomplex ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค โดยอาศัยจุดแข็งและศักยภาพวัตถุดิบการเกษตรที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่ ผ่านการส่งเสริมรูปแบบคลัสเตอร์ และให้สิทธิประโยชน์แบบ Tailor-made Package เป็นต้น
ทั้งนี้ ต้องเรียนว่าการลดคาร์บอนไม่ได้เป็นเพียงเป้าหมายของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่กลายเป็นเป้าหมายของบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ต้องบรรลุให้ได้ ดังนั้น ในแต่ละประเทศจึงมีการออกนโยบายและกฎระเบียบเพื่อรองรับ
สำหรับประเทศไทยนั้น มีจุดแข็งหลายปัจจัยที่สอดคล้องกับเรื่องดังกล่าว ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งรองรับการลงทุนในอนาคตสู่ความเป้นกลางทางคาร์บอน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพายเชนจ์ บุคลากร ที่สำคัญยังมีการนโยบายในการสนับสนุนกางลงทุนธุรกิจสีเขียวที่ชัดเจนทั้งจากบีโอไอ และหน่วยงานอื่น เพื่อให้ภาคเอกชนเปลี่ยนผ่านไปสู่การลงทุนสีเขียว
ขณะที่พลังงานสะอาดซึ่งจะเป็นที่ต้องการของภาคเอกชนมากขึ้น ปัจจุบันกระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)กำลังพัฒนากลไกลใหม่ที่เป็นแหล่งรวมพลังงานสะอาดสำหรับภาคอุตสาหกรรม และเป็นกลไกลที่จะสามารถระบุผู้ผลิตได้อย่างชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นความต้องการของบริษัทชั้นนำที่จะเข้ามาลงทุนในไทย
นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า ไทยมีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป้นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2608 ซึ่งที่ผ่านมาบอร์ดบีโอไอได้เห้นชอบทิศทางการลงทุนเชิงรุกใน 4 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2567-2570) เรียกว่าเป็น 5 อุตสาหกรรมกับ 5 นโยบาย ประกอบด้วย BCG ยานยนต์ไฟฟ้าและการส่งเสริมให้ไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานในภูมิภาค เป็นต้น
โดยดำเนินการผ่านนโยบายในการเปลี่ยนผ่านสู่การลงทุนสีเขียว การพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาและการดึงดูดบุคคลที่มีความสามารถพิเศษให้เข้ามาทำงานในประเทศ การส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบกลุ่ม และการทำให้เกิดความสะดวกในการลงทุน และกำหนดเงื่อนไขพิเศษให้บางกิจการต้องทำ เพื่อให้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวกดล้อมมากขึ้น"
สำหรับสถิติคำขอรับการส่งเสริม กิจการกลุ่ม BCG ในช่วงปี 2558 - กันยายน 2566 พบว่า มีการลงทุนในกลุ่ม BCG เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีมากกว่า 3,759 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 782,367 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมที่สำคัญที่จะนำพาไทยไปสู่การลงทุนสีเขียวได้ก็คือ ยานยนต์ ซึ่งไทยมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) โดยมีมาตรการครอบคลุมทั้งการส่งเสริมผู้ผลิต และผู้บริโภคในการใช้รถ EV
ซึ่งบีโอไอมีการสนุบสนุนผู้ผลิต EV แบบครบวงจร และการผลิตรถ EV ทุกกลุ่ม รวมถึงการผลิตชิ้นส่วน และสถานีชาร์จ EV ขณะที่ทางฝั่งผู้บริโภค บีโอไอก็มีมาตรการ EV3 ตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา และล่าสุด ครม. ได้อนมุติมาตรการ EV3.5 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้รถ EV ในไทยระยะที่ 2 ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ปี 67-40 หรือระยะเวลา 4 ปี