นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า สนข.ได้จัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่โครงการ ครั้งที่ 1 การสัมมนาปฐมนิเทศโครงการ
การศึกษาเพื่อจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline data) และการประเมิน (Tracking) การลดก๊าซเรือนกระจก จากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานพาหนะ
สำหรับการศึกษานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมขนส่งของประเทศไทย เพื่อจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline data)
และจัดทำระบบการตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ (MRV) ในการวิเคราะห์และประเมินการลดการใช้พลังงาน ก๊าซเรือนกระจก และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
ของแผนงานโครงการในกลุ่มมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานพาหนะ และกลุ่มมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นมาตรการหลักที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญ ประกอบด้วย
มาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการปรับปรุงอัตราการเก็บภาษีตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาตรการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างเมือง
และมาตรการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนด้านการคมนาคมขนส่ง การดำเนินโครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2566 – 2580 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570)
ตลอดจนแผนและนโยบายสำคัญอื่น ๆ ของประเทศ ซึ่งล้วนมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีระยะเวลาการดำเนินการ 540 วัน (ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 – 31 ธันวาคม 2568)
ขณะเดียวกันการจัดสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแลกเปลี่ยนความรู้
ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับนำไปใช้ประกอบการศึกษาเพื่อจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline data)
และการประเมิน (Tracking) การลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานพาหนะให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป
จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน เป็นปัญหาสำคัญที่นานาประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญในการร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย
ที่เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นยางิพัดถล่ม ซึ่งเป็นพายุที่มีกำลังแรงมากที่สุดที่พัดถล่มในเอเชียปีนี้ มีปริมาณน้ำฝนเกิน 400 มิลลิเมตร
นายจิรโรจน์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้แสดงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง
โดยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP 26 เมื่อปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) ประเทศไทยได้ยกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก
ภายใต้แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 (ค.ศ. 2021 – 2030) หรือ Thailand's Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021 – 2030 หรือ NDC Roadmap
จากเดิมร้อยละ 20 – 25 เป็นร้อยละ 30 – 40 ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) ซึ่งคิดเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 167 – 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ส่วนภาคคมนาคมขนส่ง ได้รับมอบหมายให้ลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 45.61 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สนข. เชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตาม NDC
รวมทั้งบรรลุเป้าหมายตามแผนระยะยาวในการมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050)
และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ของประเทศไทย ซึ่งภาคคมนาคมขนส่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายเหล่านี้