จากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของไว้รัสโควิด-19 ในประเทศไทยที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ต้องแบก รับภาระจากทั้งผู้ป่วยติดเชื้อ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยที่มีความวิตกกังวล จนทำให้สถานพยาบาลไม่เพียงพอใน การรองรับ อีกทั้งยังกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงของการแพร่ระบาดโรค ทั้งนี้สมาคมเฮลท์เทคจึงได้ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เครือข่ายโรงพยาบาล กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทยเพื่อนำเทคโนโลยี AI และ Telehealth เข้ามาเพื่อช่วยลดงานบุคลากรทาง การแพทย์
นายจักร โกศัลยวัตร นายกสมาคมเฮลท์เทคไทย เปิดเผยว่า จำนวนผู้ป่วย โควิด-19 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งมาตรการที่จะถูกนำมาใช้คือ การลดจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือโรคที่ไม่รุนแรงที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาล เพื่อสำรองทรัพยากรสาธารณสุขในการให้ การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ทั้งนี้จากการประมาณการจำนวนผู้ป่วยปัจจุบันที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และโรงพยาบาลภาคีเครือข่ายรวม 50 โรงพยาบาล พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยราว 4 ล้านคนต่อเดือน จึงได้มีการนำเทคโนโลยี Telehealth & AI เพื่อมาประยุกต์ใช้ในระบบการดูแลการแพทย์และสาธารณสุขทางไกล เพื่อลดจำนวนผู้ที่เข้าโรงพยาบาลลงให้ได้อย่างน้อย 20% หรือราว 750,000 คนต่อเดือน ผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ แบบคัดกรอง covid-19 ของโรงพยาบาลราชวิถี ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 500,000 ครั้ง หรือแบบคัดกรองของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีระบบแนะนำเบื้องต้นด้วย AI (MEDIC) สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นกับผู้ป่วยในการปฏิบัติตน หรือการเฝ้าระวัง เป็นต้น
ทั้งนี้สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงจะไม่แนะนำให้ไปโรงพยาบาล แต่ควรที่จะปรึกษาแพทย์ทางไกลผ่านระบบ Telehealth แทน ซึ่งระบบนี้จะรองรับผู้ใช้งานประมาณ 200,000 คนต่อเดือน และจำนวนสูงสุดที่รับได้คือ 1,500,000 คนต่อวัน ประกอบด้วย แบบประเมินคัดกรองผู้ป่วยออนไลน์ สำหรับเทคโนโลยี AI ที่นำมาช่วยเก็บประวัติและติดตามอาการหรือ CovidCareBot เอไอที่สามารถโทรศัพท์หาผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงแบบอัตโนมัติ เพื่อเก็บข้อมูลประวัติ สอบถามอาการ ติดตามโดยผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบด้วยเสียงพูด ระบบจะเก็บข้อมูลที่ได้ไปยังฐานข้อมูล เพื่อเป็นการช่วยลดภาระงานของบุคลากรในการโทรติดตามอาการ ซึ่งสามารถรองรับได้ 10,000-20,000 ครั้งต่อวัน อาจขยาย ได้ถึง 100,000 ครั้งต่อวัน ขึ้นกับจำนวนคู่สายในระบบ หรือปรับเปลี่ยนเป็นการกรอกข้อมูลแบบออนไลน์
นอกจากนี้ยังมี AI ที่ใช้เทคโนโลยี Deep Learning ในการอ่านภาพเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อคัดกรองผู้ป่วยที่อาจมีความผิดปกติในทรวงอกและช่วย แพทย์ในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น เช่น ปอดอักเสบ และวัณโรคโดยจะวิเคราะห์สภาวะผิดปกติจากภาพเอกซเรย์ได้ทั้งหมด 14 สภาวะ มีความแม่นยำเฉลี่ยที่ 91% พร้อมระบุตำแหน่งที่พบความผิดปกติด้วยการไฮไลต์ เพื่อให้แพทย์สามารถตรวจสอบและยืนยันอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแพทย์รังสีในการช่วยวินิจฉัย ภาพเอกซเรย์ โดยที่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลสามารถนำภาพเอกซเรย์ไปใช้เพื่อการคัดกรองโควิด-19 ได้ เนื่องจากโควิด-19 ถือเป็นโรคปอดอักเสบชนิดหนึ่งและมีโอกาสที่จะเห็นรอยโรคหรือความผิดปกติได้จากภาพเอกซเรย์เร็วกว่าการทดสอบแบบ RT-PCR 1-2 วัน ความเร็วในการคัดกรองภาพเอกซเรย์อยู่ที่ 500 ภาพ ต่อ 15 นาที NCDs Monitoring BOT เป็นแชทบอทที่ผู้ป่วย NCDs สามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพ รวมถึงการให้คำแนะนำในการดูแลตนเองและปรับพฤติกรรมด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งพิจารณาจากระดับนํ้าตาลในเลือด ความดันโลหิต โดยสามารถรองรับผู้ใช้งานประมาณ 500,000 คนต่อเดือน
หน้า 26 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,564 วันที่ 9-11 เมษายน 2563