เปิดเทรนด์นวัตกรรมกู้โลก“Climate Tech” ปี 68

04 ม.ค. 2568 | 09:55 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ม.ค. 2568 | 10:03 น.

วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ขึ้นระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่ามนุษยชาติต้องเร่งหาทางรับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจัง

ในท่ามกลางความท้าทายนี้ เทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech ได้ก้าวขึ้นมาเป็นความหวังสำคัญ  เมื่อมองไปในปี 2568 เราจะเห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการรับมือกับปัญหาโลกร้อนไปอย่างสิ้นเชิง

เปิดเทรนด์นวัตกรรมกู้โลก“Climate Tech” ปี 68

“ฐานเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมเทคโนโลยี Climate Tech ที่น่าสนใจ และเป็นส่วนหนึ่งของการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยกอบกู้โลก

 

เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนก้าวลํ้าขึ้น

ประตูบานแรกสู่การแก้ปัญหาคือ เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน ที่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและต้นทุนต่ำลง นำโดย บริษัท Climeworks ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Direct Air Capture (DAC) ที่สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากอากาศ โดยใช้พัดลมดูดอากาศผ่านตัวกรองพิเศษที่จับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เมื่อตัวกรองอิ่มตัว จะถูกทำให้ร้อนเพื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในรูปแบบที่เข้มข้น พร้อมนำไปใช้ในอุตสาหกรรมหรือกักเก็บใต้ดิน นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรม BECCS (Bioenergy with Carbon Capture and Storage) ที่ผสมผสานการใช้พลังงานชีวมวลกับการดักจับคาร์บอน และเทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนให้กลายเป็นแร่ธาตุ ซึ่งบริษัท Carbfix กำลังพัฒนาให้เป็นวิธีเก็บกักคาร์บอนแบบถาวร ด้วยการฉีดคาร์บอนไดออกไซด์ลงในชั้นหินบะซอลต์ใต้ดิน ที่จะทำปฏิกิริยาและเปลี่ยนเป็นแร่คาร์บอเนตภายในเวลาเพียง 2 ปี

AI-Machine Learning แก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

ก้าวสำคัญอีกขั้นคือการนำปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องมาช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM และ Google กำลังพัฒนาระบบ AI ที่จะช่วยพยากรณ์สภาพอากาศได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมและเครือข่ายเซนเซอร์ทั่วโลก ทำให้สามารถคาดการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติและเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที AI ยังช่วยบริหารจัดการพลังงานในอาคารและโรงงาน ติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่าหรือการละลายของธารน้ำแข็ง บริษัท AutoGrid และ Grid.io ได้พัฒนาระบบ AI ที่ช่วยบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ปรับสมดุลระหว่างการผลิตและความต้องการใช้พลังงาน พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บพลังงานหมุนเวียน

เปิดเทรนด์นวัตกรรมกู้โลก“Climate Tech” ปี 68

นวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนก้าวอีกขั้น

พลังงานสะอาดก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์หรือไมโครกริด (Microgrid) ที่ให้ชุมชนและผู้บริโภคผลิตและจ่ายไฟฟ้าได้เอง โดยใช้แผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน ทำให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าหลัก นวัตกรรมฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำก็กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะในประเทศที่มีพื้นที่จำกัด โครงการขนาด 320 เมกะวัตต์ในจีนได้ใช้ประโยชน์จากผิวน้ำในเหมืองถ่านหินเก่า นอกจากจะผลิตไฟฟ้าสะอาดแล้ว ยังช่วยลดการระเหยของน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ด้วยการระบายความร้อนตามธรรมชาติ การพัฒนาแบตเตอรี่แบบ Solid-state ที่มีความจุสูงและปลอดภัยกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบเดิม รวมถึงการใช้ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน จะช่วยแก้ปัญหาการกักเก็บพลังงานระยะยาวและทำให้การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง

การขนส่งสีเขียว เปลี่ยนทุกเส้นทางสู่ความยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นในภาคการขนส่งด้วยเช่นกัน ยานยนต์ไฟฟ้าจากค่ายรถยนต์ชั้นนำอย่าง Tesla, BYD และ Volkswagen จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและราคาถูกลง ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภค ในขณะเดียวกัน ยานยนต์ไฮโดรเจนอย่าง Toyota Mirai และ Hyundai NEXO กำลังได้รับความนิยมสำหรับการขนส่งสินค้าระยะไกล ด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องเวลาเติมเชื้อเพลิงที่สั้นกว่าและระยะทางวิ่งที่ไกลกว่า ในแคลิฟอร์เนีย โครงการ Zero Emission Truck and Bus Pilot Project วางแผนที่จะใช้รถบรรทุกเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน 100 คันภายในปี 2568 ส่วนการขนส่งสาธารณะก็กำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ตัวอย่างที่น่าประทับใจคือเมืองเซินเจิ้นที่เปลี่ยนรถเมล์ทั้งหมด 16,000 คันให้เป็นระบบไฟฟ้า ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1.35 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเรือขนส่งสินค้าที่ใช้แอมโมเนียเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อเผาไหม้

เศรษฐกิจหมุนเวียน และนวัตกรรมลดขยะด้วย AI

การจัดการทรัพยากรก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าด้วยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่มุ่งใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด บริษัท AMP Robotics ได้พัฒนาระบบคัดแยกขยะอัจฉริยะที่ใช้ AI ซึ่งทำงานได้เร็วขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับการคัดแยกแบบเดิม เทคโนโลยีรีไซเคิลเชิงเคมีจาก Loop Industries สามารถย่อยพลาสติกที่รีไซเคิลยากกลับเป็นโมเลกุลตั้งต้น เพื่อนำไปผลิตเป็นพลาสติกคุณภาพสูงได้อีกครั้ง โรงงานของ Anaergia ในแคลิฟอร์เนียสามารถแปรรูปขยะอินทรีย์เป็นก๊าซธรรมชาติหมุนเวียนที่ใช้จ่ายไฟให้บ้านเรือนกว่า 13,000 หลังต่อปี ด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัท Ecovative ได้พัฒนาวัสดุจากเส้นใยเห็ดที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ มาทดแทนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

เกษตรกรรมอัจฉริยะเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

ภาคเกษตรกรรมก็จะปรับตัวรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วยเทคโนโลยีเกษตรกรรมแม่นยำสูงที่ใช้โดรน เซนเซอร์ และ GPS ในการดูแลพืชผล ระบบ IBM Watson Decision Platform for Agriculture ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลพยากรณ์อากาศ ปฏิทินการเพาะปลูก และเครื่องมือจัดการศัตรูพืชแบบครบวงจร ในประเทศเคนยา นักชีววิทยาได้พัฒนาพันธุ์พืชที่ทนแล้งให้ผลผลิตสูงกว่าพืชทั่วไป 20-30% หรือ AeroFarms สามารถปลูกพืชโดยใช้น้ำน้อยลงถึง 95% และระบบวนเกษตรที่ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) คาดว่าการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรได้ 25-30%