โควิดดันยอดใช้เน็ตบ้านพุ่ง 40% AIS Fibre ชูงานบริการ24ชั่วโมง

14 ก.ย. 2564 | 09:29 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.ย. 2564 | 16:40 น.

AIS Fibre เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่อุตสาหกรรมเน็ตบ้านอย่างยั่งยืน ชู งานบริการ ที่เหนือกว่าพร้อมตอบโจทย์คนไทยใช้ชีวิตบนออนไลน์ได้ต่อเนื่อง ไร้ความกังวล 24 ชั่วโมง ตอกย้ำความเป็นที่ 1 ในใจตัวจริงทุกมิติ “เร็วกว่า ดีกว่า ง่ายกว่า”

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าฝ่ายงานบริหารธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ AIS กล่าวว่า “ตลาดเน็ตบ้านมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากการต้องกลับมาทำงานและเรียนที่บ้าน กลายเป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนของระบบเศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตของคนในยุค NOW Normal ทำให้เราเห็นรูปแบบและพฤติกรรมการใช้งานที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นกว่า 40 % ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้ง 3 รอบ การใช้งานแอพพลิเคชั่นการประชุมต่างๆ รวมถึงการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ เติบโตกว่า เท่าตัวจากปีที่ผ่านมา หรือแม้แต่จำนวน Device ที่ใช้งานในแต่ละบ้านเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเช่นกัน ทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้อินเตอร์เน็ตของผู้บริโภคต่อเรื่องต่างๆ นี่จึงเป็นภารกิจที่ชาว AIS Fibre ทุกคนถือเป็นเป้าหมายและพันธสัญญาเดียวกันว่า เราจะทำทุกวิถีทางที่จะส่งมอบประสบการณ์ และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของเราได้เชื่อมต่ออย่างราบรื่นที่สุด เพื่อนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกสถานการณ์”

โควิดดันยอดใช้เน็ตบ้านพุ่ง 40% AIS Fibre ชูงานบริการ24ชั่วโมง

จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ AIS Fibre ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของการทำงานในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพสัญญาณโครงข่าย การขยายพื้นที่การให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้น และที่สำคัญคือ การยกระดับคุณภาพงานบริการที่แตกต่างและเหนือกว่าด้วยกลยุทธ์ Service Innovation ที่ต้องใช้พลังของทุกส่วนงานทั้ง พนักงาน, ทีมงานขาย, พนักงาน Call Center, พนักงานหน้าร้าน, ทีมงานติดตั้ง, ทีมงาน support รวมทั้ง พันธมิตรทางธุรกิจ ที่ผสานการทำงานด้วยเทคโนโลยี และ Automatic Process ที่เชื่อมต่อกันทั้งระบบ ตั้งแต่ระบบหน้าบ้านที่ติดต่อกับลูกค้า จนถึงระบบหลังบ้านที่จัดการทั้งหมด รวมถึงการทำ Dashboard & Monitoring Tools ที่ช่วยติดตามผล อัพเดทสถานการณ์การดูแลลูกค้าแต่ละบ้านให้เป็นไปตามเงื่อนไข และสามารถแก้ไขทันทีหากเกิดปัญหา

ทั้งหมดจึงเป็นการตอกย้ำถึงเจตนารมณ์ของ AIS Fibre ที่เป็นผู้เล่นรายแรกและรายเดียวในการนำงานบริการขึ้นมาเป็นแกนสำคัญในการแข่งขันจนสามารถสร้างพันธสัญญากับลูกค้าที่สามารถทำได้จริง กับความพร้อมในการดูแลลูกค้า พร้อมแก้ปัญหา 24 ชั่วโมงได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ ไม่ให้การเชื่อมต่อสะดุด

โควิดดันยอดใช้เน็ตบ้านพุ่ง 40% AIS Fibre ชูงานบริการ24ชั่วโมง

กิตติ อธิบายต่อไปอีกว่า “งานบริการ” คือกลยุทธ์สำคัญที่เป็น Brand DNA ของ AIS ซึ่งได้สร้างความเป็นผู้นำให้แข็งแกร่งมาโดยตลอด ทำให้เรื่องของ Service Innovation กลายเป็นเป้าหมายร่วมกันของทั้งองค์กรที่จะมาเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะสร้างความแตกต่างให้กับตลาดที่มุ่งเน้นการแข่งขันไปกับสงครามราคา ซึ่งไม่ใช่แนวทางการทำงานของ AIS Fibre อย่างแท้จริง

วันนี้บริการที่เหนือกว่าถูกถ่ายทอดออกมาให้เป็นรูปธรรมและลูกค้าได้สัมผัสจนเกิดความพึงพอใจสูงสุดทุกกระบวนการตั้งแต่การลงทุนพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะให้มีคุณภาพตอบโจทย์การใช้งานลูกค้าในทุกช่วงเวลา ขยายพื้นที่การให้บริการครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศ การเตรียมสรรพกำลังด้วยบุคลากรทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน รองรับความต้องการตั้งแต่การขายไปจนถึงการติดตั้ง ภายใต้ 3 มาตรฐานที่จะเปลี่ยนภาพธุรกิจเน็ตบ้านให้ก้าวไปอีกขั้น ทั้ง  “มาตรฐาน การแก้ปัญหาภายใน 24 ชม.” ให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด  “มาตรฐาน การติดตั้งเร็ว” พร้อมเข้าติดตั้งเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างเร็วที่สุด “มาตรฐาน ช่างนัดตรงต่อเวลา” ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง การให้บริการ หรือการเข้าไปดูแลเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้งานในทุกกรณี

โควิดดันยอดใช้เน็ตบ้านพุ่ง 40% AIS Fibre ชูงานบริการ24ชั่วโมง

นายกิตติ กล่าวในช่วงท้ายถึงเป้าหมายการทำงานของ AIS Fibre ว่า “ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ AIS Fibre ลงสนามตลาดเน็ตบ้าน สามารถขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำได้สำเร็จ ให้บริการลูกค้าไปแล้วกว่า 1.53 ล้านครัวเรือน และยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดขายเติบโต 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว เป็นผู้เล่นที่มีการเติบโตเหนือกว่าตลาด เราเชื่อว่าหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนนอกเหนือจากการมีนวตกรรมสินค้าและบริการโดนใจตอบโจทย์ของลูกค้า โครงข่ายและคุณภาพของสัญญานที่มีความเร็ว แรงและความเสถียร อีกหนึ่งความท้าทายคือ การให้บริการที่ทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก ด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด ด้วยปัจจัยทั้งหมดจะทำให้เราเติบโตได้อย่างยั่งยืน สู่การเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค ที่จะทำให้เราสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ไม่ยาก”