นายเฟอร์ดินาน วูลฟ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ DJI ผู้นำเทคโนโลยีการถ่ายภาพทางอากาศ และกล้องระดับโลก เปิดเผยว่า “จากการเปิดตัว DJI Mini Series เมื่อปี 2562 เป้าหมายของเราคือการเปิดประสบการณ์ให้ทุกคนได้เห็นโลกจากมุมมองด้านบนได้เป็นครั้งแรก ซึ่งจากเรื่องราวและภาพต่าง ๆ ที่เราได้เห็นมา เราได้ค้นพบว่ากล้องถ่ายทางอากาศขนาดเล็ก เป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์การถ่ายภาพทางอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง
โดยในวันนี้ เราพร้อมเปิดตัว DJI Mini 3 Pro โดรนติดกล้องที่ผสมผสานทั้งความสามารถในการบินอย่างยอดเยี่ยม ฟังก์ชั่นอัจฉริยะ และความคล่องตัวในการถ่ายภาพไว้ในกล้องทางอากาศที่น้ำหนักเบาพิเศษ สะดวกในการพกพา และทรงพลังที่สุด ซึ่งก้าวข้ามขีดความสามารถของโดรนติดกล้องแบบทั่วไป”
ด้วยระเบียบการบินโดรนในหลายพื้นที่และประเทศต่าง ๆ โดรนที่มีน้ำหนักไม่ถึง 250 กรัมจัดอยู่ในประเภทโดรนที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้น DJI Mini 3 Pro ซึ่งมีน้ำหนักต่ำกว่า 249 กรัมจึงเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญสำหรับเหล่า Content Creator สายนักเดินทางและนักบินโดรนมือใหม่ ที่สามารถพกพา DJI Mini 3 Pro ร่วมเดินทางเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากมินิโดรนที่ทั้งทรงพลังและปลอดภัยสู่สายตาชาวโลกได้อย่างสะดวก
นอกจากนี้ DJI Mini 3 Pro ยังเป็นสุดยอดผลงานออกแบบที่ปรับปรุงประสิทธิภาพหลายด้าน ทั้งแขนและใบพัดที่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้การบินเป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์มากขึ้น ช่วยเพิ่มระยะเวลาในการบิน และยังเป็นโดรนติดกล้องรุ่นแรกใน DJI Mini Series ที่มีระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางแบบสามทิศทาง ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ภาพด้านหน้า ด้านหลัง และด้านล่าง โดยเซ็นเซอร์ด้านหน้าและด้านล่างมีขอบเขตการมองเห็นที่กว้างขึ้น ช่วยให้การวางแผนเส้นทางและการรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมดีอย่างไร้รอยต่อ
ทั้งนี้ เซ็นเซอร์มีระบบ Advanced Pilot Assistance Systems (APAS) 4.0 ซึ่งจะตรวจหาเส้นทางที่อยู่ท่ามกลางสิ่งกีดขวางได้ดีขึ้นโดยอัตโนมัติในระหว่างการบินนอกจากนี้ เซ็นเซอร์ยังใช้งานชุด FocusTrack แบบครบวงจร ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกวัตถุที่โดรนจะเล็งไว้ภายในกึ่งกลางเฟรมโดยอัตโนมัติในระหว่างการบิน ในขณะที่ทำการวางแผนเส้นทางการบินที่ปลอดภัยโดยอัตโนมัติเช่นกัน ซึ่ง DJI Mini 3 Pro เป็นมินิโดรนรุ่นแรกที่รวม APAS และ FocusTrack ไว้ในตัว
DJI Mini 3 Pro มาพร้อมกับระบบการถ่ายภาพที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ทั้งเซ็นเซอร์กล้อง CMOS ขนาด 1/1.3 นิ้ว มี Native ISO แบบคู่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่เดิมมีเฉพาะในโรงภาพยนตร์และกล้องไมโครเดี่ยวบางรุ่นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรูรับแสง f/1.7 และถ่ายภาพได้สูงสุดที่ 48MP และวิดีโอสูงสุดที่ 4K/60fps ที่สามารถถ่ายทำคอนเทนต์คุณภาพสูงและอัปโหลดได้ง่าย
กล้องจะหมุน 90 องศาเพื่อการถ่ายภาพแนวตั้งด้วย True Vertical Shooting รวมทั้งสร้างสรรค์ภาพถ่ายและวิดีโอตามจินตนาการในแนวตั้งโดยไม่ต้องซูมภาพซึ่งทำให้คุณภาพลดลง เพื่อให้รายละเอียดภาพที่สดใสที่สุด การบันทึกวิดีโอ HDR ให้คุณเลือกอัตราเฟรมได้สูงสุดถึง 30fps และ True Vertical Shooting จะหมุนกล้อง 90 องศาเพื่อถ่ายคอนเทนต์โซเชียลมีเดียคุณภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีโปรไฟล์สีให้ใช้สำหรับการแก้ไขในแอปอย่างรวดเร็ว และ D-Cinelike
สำหรับการแก้ไขได้อย่างหลากหลายมากขึ้นในภายหลัง ช่วงการซูมวิดีโอแบบดิจิทัลสูงสุดถึง 2 เท่ามีให้เลือกในแบบ 4K, 3 เท่า ในแบบ 2.7K และ 4 เท่าในแบบ Full HD นอกจากนี้ ด้วยความคิดเห็นจากผู้ใช้งาน เรายังได้ปรับปรุงประสิทธิภาพของภาพจาก DJI Mini 3 Pro ด้วยพิกเซลขนาด 2.4μm ที่จับภาพได้ละเอียดมากขึ้น เหมาะกับการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยและตอนกลางคืน
แม้ DJI Mini 3 Pro จะมีน้ำหนักไม่ถึง 249 กรัม แต่สามารถบินได้นานสูงสุดถึง 34 นาที เพื่อให้สามารถเก็บภาพภูมิทัศน์และจุดหมายปลายทางได้มากขึ้นด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ เรายังสร้างประวัติศาสตร์ด้วย “Intelligent Flight Battery Plus” แบตเตอรี่สำหรับโดรนที่ช่วยให้บินได้นานสุด 47 นาที ซึ่งเป็นความสามารถที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับโดรนที่มีขนาดเท่านี้ ที่สามารถทำงานควบคู่กันอย่างลงตัวกับระยะเวลาการบินที่นานขึ้น นอกจากนี้ DJI Mini 3 Pro ยังขยายระบบการส่งกำลัง O3 ซึ่งให้มุมมอง 1080p ที่คมชัดจากระยะไกลสุดถึง 12 กม.
ทั้งนี้ DJI Mini 3 Pro สามารถใช้ร่วมกับ DJI RC รีโมทคอนโทรลน้ำหนักเบาพร้อมหน้าจอสัมผัสในตัวขนาด 5.5 นิ้ว และแอปพลิเคชั่น DJI Fly ทำให้ผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับตัวควบคุม เพิ่มอิสระในการบังคับการบินโดรน รวมทั้งมีอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ครบครัน เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้งานได้อย่างเต็มที่
ในประเทศไทย DJI Mini 3 Pro มีจำหน่าย 2 รุ่น คือ DJI Mini 3 Pro ราคา 25,690 บาท และ DJI Mini 3 Pro พร้อม DJI RC ราคา 30,990 บาท