รัฐ โชว์ผลงาน 8 ปี ดึงเงินลงทุนมากกว่า 8 หมื่นล้านบาท

30 ต.ค. 2565 | 05:42 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ต.ค. 2565 | 12:48 น.

รัฐ โชว์ผลงาน 8 ปี ดึงเงินลงทุนมากกว่า 8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ดีอีเอส เร่งพัฒนา สมาร์ทซิตี้ทั่วไทย รวมการทำธุรกิจออนไลน์มูลค่า 5.6 แสนล้านบาท

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากกรณีที่มีประเด็นข่าวปลอมจากสังคมออนไลน์ แจ้งว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาไม่มีการลงทุนใหม่ในประเทศ นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น ทางรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอยืนยันว่า ในช่วงระยะเวลา 8 ที่ผ่านมา นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปี 


ทั้งนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่ารัฐบาลได้มีการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2565 ได้มีการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 26 โครงการ  จาก 17 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน  รวม 80,208 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน)

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น

จำนวนยานยนต์ที่ได้รับอนุมัติ 838,775 คัน และบีโอไอได้ออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้วจำนวน 16 โครงการ อาทิ โครงการผลิตรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน จำนวน 6 ราย, รถยนต์กระบะ จำนวน 2 ราย และรถจักรยานยนต์ จำนวน 3 ราย เป็นต้น

 

นอกจากนี้ยังได้อนุมัติโครงการพัฒนา Data Center จำนวน 3 แห่ง ที่นิคมอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ของบริษัท อะเมซอน ดาต้า เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าเงินลงทุนรวม 24,810 ล้านบาท (มูลค่าเงินลงทุนไม่รวมที่ดินและทุนหมุนเวียน 23,658 ล้านบาท)

สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงานของสำนักงานและหน่วยงานภายใต้ดีอีเอสนั้น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City แล้ว 30 พื้นที่ใน 23 จังหวัด 


อีกทั้งได้รับความเห็นชอบแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะเพิ่มเติมจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ ที่มี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมาอีก 15 พื้นที่ใน 14 จังหวัด และยังมีแผนที่จะผลักดันประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะได้อย่างสมบูรณ์ ผ่านการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่มุ่งเน้นให้คนเป็นศูนย์กลางเพื่อให้เกิดแผนการพัฒนาเมือง 


รวมถึงโครงการที่ตอบสนองบริบทของพื้นที่ และความต้องการของประชาชนให้กับผู้บริหารเมือง ทั้งระดับประเทศ จังหวัด และชุมชน อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน ยกระดับสังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั่วประเทศ

 

นางสาวนพวรรณ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) ซึ่งเป็นสำนักงานงานภายใต้ดีอีเอส ยังมีการจัดทำนโยบายแนวทางในการขับเคลื่อนงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศและในมิติการดำเนินงานที่ ETDA จะต้องขับเคลื่อนในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมถึงความร่วมมือกับทุกภาคส่วน มุ่งสู่การยกระดับชีวิตคนไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ภายใต้ 4 โครงการสำคัญ ประกอบด้วย 

 

การกำกับดูแล Digital Service, ร่วมผลักดัน Digital ID, ส่งเสริมและร่วมพัฒนานวัตกรรมที่น่าเชื่อถือผ่าน ETDA Sandbox และขยายความร่วมมือสร้างโอกาส ก้าวสู่โลกออนไลน์ที่ทุกคนมั่นใจ เพื่อให้เกิดการทำธุรกรรมทางออนไลน์ที่มั่นคงปลอดภัยและน่าเชื่อถือ 


ซึ่งได้เดินหน้าขับเคลื่อนงานสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้คนไทยทำธุรกรรมทางออนไลน์อย่างเชื่อมั่น เพราะธุรกรรมทางออนไลน์ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

จากการสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซของไทยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าตลาดอีคอมเมิร์สของไทย ในปี 2565 มีมูลค่าราว 5.6 แสนล้านบาท ทั้งนี้การทำธุรกรรมผ่านออนไลน์คาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคก็มีความสะดวกและคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น


“ขอให้ประชาชนตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายอยู่บนโซเชียล/ออนไลน์ โดยสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87” นางสาวนพวรรณกล่าว