ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล กรรมการผู้จัดการ บริษัทกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป จำกัด(KBTG) กล่าวตอนหนึ่งในงานสัมมนา AI Revolution 2025: A New Paradigm of New World Economy จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ภายใต้หัวข้อ Next-Gen Banking: AI as the Financial Game Changer ว่า กลยุทธ์ของ KBTG ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในภาคธุรกิจธนาคารมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำ AI และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า และการบริหารจัดการภายในองค์กร
หนึ่งในสิ่งที่ KBTG ภาคภูมิใจคือการใช้ AI ที่สามารถปรับปรุงการตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการใช้ AI ในการเสริมการตลาดและการเพิ่มลูกค้าใหม่ในช่องทางต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม
อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ในการเสริมสร้างการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านของการวิเคราะห์พฤติกรรมการผิดชำระหนี้และการตรวจจับความผิดปกติในธุรกรรมการเงินที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับธนาคารในยุคปัจจุบันที่มีการโจมตีจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
ดร.ทัดพงศ์ยังกล่าวถึงการร่วมมือระหว่างองค์กรภาคธนาคารดั้งเดิมและฟินเทคที่มีเทคโนโลยีทันสมัย โดยเน้นถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์อนาคตและความต้องการของลูกค้า
จากกลยุทธ์ดังกล่าว KBTG ไม่เพียงแค่ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานภายในองค์กร แต่ยังมองไปข้างหน้าในการสร้างโซลูชั่นที่ยั่งยืนและมีผลกระทบเชิงบวกต่อวงการธนาคารและการเงินในอนาคต
ขณะที่ นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการพัฒนาและบทบาทของเทคโนโลยี AI ในภาคธุรกิจการเงินและฟินเทคในปัจจุบันนั้นโดยมองว่าองค์กรขนาดใหญ่ในภาคการเงินนั้นมีข้อได้เปรียบจากข้อมูลและสินทรัพย์ที่มีจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน ทำให้การลงทุนในเทคโนโลยี AI และการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามความยืดหยุ่นของฟินเทค ที่สามารถทดลองและพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ ได้ง่ายกว่าองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดจากการกำกับดูแลและผลกระทบจากการทำลายธุรกิจเดิม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ฟินเทคสามารถปรับตัวและทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น ฟินเทคสามารถพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างเช่น การบริหารความมั่งคั่ง (wealth management) หรือ การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อช่วยให้ฟินเทคสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ AI จะช่วยให้ฟินเทคสามารถประเมินข้อมูลทางการเงินและพฤติกรรมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
นายพชร ยังกล่าวถึงการใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยในระบบการเงิน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกันการฟอกเงินและการทุจริตทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีเช่น biometrics หรือการยืนยันตัวตนช่วยให้มั่นใจได้ว่าเป็นการทำธุรกรรมของบุคคลจริงๆ ซึ่งสามารถทำได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าในอดีต อีกทั้ง AI ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ทำให้สามารถป้องกันการทุจริตได้ดีขึ้น
สำหรับอนาคตมองว่าธุรกิจฟินเทคจะมีโอกาสพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และ กระบวนการทางการเงิน ที่ตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งสามารถขยายฐานลูกค้าด้วยการใช้ AI ในการพิจารณาและประเมินความเสี่ยงของลูกค้า โดยเฉพาะการให้สินเชื่อแก่กลุ่มที่ไม่เคยเข้าถึงแหล่งการเงินจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถใช้ข้อมูลทางเลือกมาเสริมในการประเมินความเสี่ยงได้
อย่างไรก็ตามควรให้ความสำคัญในการรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้าและการปกป้องข้อมูลทางการเงิน โดยต้องมีมาตรการที่เหมาะสมและปฏิบัติตามกฎหมายในการใช้ข้อมูลลูกค้า ทั้งนี้ต้องเคารพความเป็นเจ้าของข้อมูลของลูกค้าและให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล