นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ว่า วันนี้มีการประชุมหารือกันระหว่าง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล และอีกวงเป็นการประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส. และ ส.ว. มีการตกลงเรื่องระยะเวลาในการโหวตนายกรัฐมนตรี โดยวันที่ 13 ก.ค. จะมีการเริ่มประชุมกันภายในเวลา 09.30 น.
หลังจากที่มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้ว ประธานรัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้เสนอว่าให้สมาชิกอภิปรายซักถามอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะมีการโหวต ซึ่งคาดว่าจะได้โหวตนายกรัฐมนตรีในเวลาช่วงเย็น
นายชัยธวัช ย้ำว่า เป็นเรื่องปกติที่หากมีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ประธานสภาฯ จะเปิดโอกาสให้ตอบคำถาม แสดงวิสัยทัศน์ไปในตัว ส่วนเสียง ส.ว. ที่จะโหวตให้นายพิธา ยอมรับว่ามีกระแสกดดันในกลุ่ม ส.ว.ค่อนข้างมาก ทำให้ขณะนี้ ส.ว. ส่วนใหญ่มีท่าทีที่ไม่แสดงออกชัดเจน ซึ่งคงต้องรอในวันที่ 13 ก.ค.
เมื่อถามว่า ส.ว. ที่ไปพูดคุยส่งสัญญาณบวกมาบ้างหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า มีสัญญาณบวกแน่นอน ต้องยอมรับอย่างที่เรียนในวันนี้มีกระแสข่าวกดดัน ส.ว.ที่อาจจะถูกคาดหมายว่าจะโหวตให้นายพิธาอย่างมาก
“ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่กระแสข่าวมีเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความ ส่งคนไปพูดคุยกดดัน บางกระแสข่าวมีการพูดถึงขั้นแบล็กเมล์ด้วยซ้ำ หรือเสนอผลประโยชน์ต่างๆ ให้ซึ่งหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงๆ”
เมื่อถามว่า มี ส.ว.บางคนออกมาขู่พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลว่าอาจมีการยุบพรรคหากโหวตให้นายกรัฐมนตรีที่มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่น่าเกี่ยวกัน ส.ว.บางคน เช่น นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ ที่บอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น
โดยจะมีข้อกล่าวหาอะไรก็ตามต่อนายพิธา เมื่อเข้าสู่กระบวนการไม่ว่าจะเป็นศาลหรือองค์กรอิสระ ยังไม่มีข้อยุติถึงที่สุด ก็ต้องถือว่านายพิธายังไม่มีอะไรผิดและเป็นการแยกการทำหน้าที่อยู่แล้วระหว่างการตรวจสอบเรื่องคุณสมบัติกับการโหวตนายกรัฐมนตรีของสมาชิกรัฐสภา
ส่วนจะทำให้ ส.ส.ไม่กล้าโหวตให้หรือไม่นั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า เชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแยกออก สิ่งที่กังวลมากกว่าคือความพยายามชูเรื่องความจงรักภักดีมาเป็นเกณฑ์ในการให้โหวตหรือไม่โหวต คิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม มองว่าเป็นการหมิ่นเหม่ที่จะเอาสถาบันฯมาปะทะกับการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสถาบันฯในระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า จะมีการแถลงจุดยืนเรื่องมาตรา 112 ก่อนการโหวตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (10 กรกฎาคม) ได้ทราบข่าวแม้กระทั่งว่ามีการส่งข้อความกันในหมู่ส.ว.ว่าต่อให้นายพิธาพูดเช่นนั้นเช่นนี้ก็อย่าหลงชื่อ
“เข้าใจว่าท่านที่มีเจตนาแน่วแน่ว่าอย่างไรก็จะไม่โหวต ไม่ต้องการเห็นพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ก็จะมีเหตุผลร้อยแปด”
เมื่อถามว่า มีแผนสำรองไว้หากโหวตครั้งแรกไม่ผ่านหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันใน 8 พรรคร่วม มองว่ายังไม่ถึงวาระที่จะประชุม และยังไม่ได้มีการพูดคุยถึงจำนวนครั้งที่จะโหวต ซึ่งในที่ประชุม 8 พรรคร่วมในช่วงเช้าก็มีผู้เสนอว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ ส.ส.โหวตก่อนแล้วตามด้วย ส.ว. แต่ในที่ประชุมเห็นว่าไม่ควรยกเว้นข้อบังคับ ยืนยันว่าทั้ง 8 พรรคจะเสนอชื่อนายพิธา เสียงส่วนมากย้ำว่าการพูดคุยกับ ส.ว.จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่า กังวลเรื่องการพิจารณาหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นไปตามที่นายพิธาทำหนังสือไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่มีการแจ้งข้อเท็จจริงตามข้อกฎหมาย ที่มีการกล่าวหานายพิธา โดยได้เปิดโอกาสให้นายพิธาได้ชี้แจงตามกระบวนการที่ควรจะเป็น
"ตอนนี้เกิดคำถามว่าทำไมจึงลุกลี้ลุกลนจนมีกระแสข่าวว่าจะรวบรัดให้กกต. มีธงหรือไม่ ที่จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญยุติการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ของนายพิธาก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี คิดว่ากกต.ตั้งอธิบายให้ได้ว่าทำไมจึงไม่มีกระบวนการเรียกนายพิธา จะอ้างว่าไม่จำเป็น ไม่ได้ เพราะตามระเบียบปกติควรจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนไต่สวน จะมีเช่นนั้นไปทำไม หาก กกต.จะส่งทุกเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งทางสื่อมวลชนก็ทราบว่ามีข้อเท็จจริงและข้อถกเถียงกันเยอะว่าไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่ ซึ่งคงฟันไม่ได้ว่ากกต.จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องน่าผิดสังเกต หวังว่าจะไม่มีธงทางการเมือง พร้อมย้ำว่าผล กกต.จะออกมาในวันพรุ่งนี้ (12 ก.ค.) อย่างไรก็ไม่ผลต่อการโหวตนายกรัฐมนตรี"
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ในเรื่องที่บอกว่ามีการส่งข้อความในกลุ่ม ส.ว.หวังว่าจะไม่เป็นความจริง ซึ่งพรรคก้าวไกล มีหน้าที่รับผิดชอบศักดิ์ศรีของประชาชน ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ที่นายพิธาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็น 50:50 ใช่หรือไม่ นายชัยธวัช ยิ้มพร้อมกล่าวว่า ไม่ต้องการ 50 แต่ต้องการ 70