สมรภูมิการเมืองระดับชาติดุเดือด นักการเมืองทุกพรรคการเมืองเดินหน้าหาเสียงเลือกตั้ง 2566 กันอย่างเต็มที่ งัดทุกกลเม็ดออกมาเพื่อมัดใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งก่อนถึงวันหย่อนคะแนนซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้เป็นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. เป็นวันเลือกตั้ง
ระหว่างนี้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ออกมาเน้นย้ำเกี่ยวกับ "ข้อห้าม" ไม่ให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1.จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
2.ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์หรือสถาบันอื่นใด
3.ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ
4.เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
5.หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
6.การหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครและพรรคการเมือง ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับแนวทางที่กำหนด เป็นนโยบายของพรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
7.ห้ามมิให้ผู้สมัครผู้ใดจัดยานพาหนะนำผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกตั้ง หรือนำกลับไปจากที่เลือกตั้ง หรือจัดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปหรือกลับเพื่อการออกเสียงลงคะแนนโดยไม่ต้องเสียค่าโดยสารยานพาหนะหรือค่าจ้างซึ่งต้องเสียตามปกติ
8.ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการเพื่อจูงใจหรือควบคุมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเลือก หรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด
9.ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยเข้ามีส่วนช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้งหรือกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งโดยประการที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใด ทั้งนี้ เว้นแต่การกระทำนั้นป็นการช่วยราชการหรือเป็นการประกอบอาชีพตามปกติโดยสุจริตของผู้นั้น
10.ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใด ๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
หาเสียงผิดกฎกกต.มีโทษถึงยุบพรรค
ทั้งนี้ กฎหมายเลือกตั้งได้กำหนดโทษแก่การหาเสียงที่มีลักษณะเป็นการต้องห้ามไว้ โดยในมาตรา 158 และมาตรา 159
มีโทษตั้งแต่ปรับ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ไปจนถึงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
นอกจากนี้หากปรากฎพฤติการณ์ว่า หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค รู้เห็นเป็นใจจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองนั้น ๆ ได้ ตามกฎหมายพรรคการเมือง