นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน แสดงทรรศนะผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์วันนี้ (23 พ.ค.) ระบุ ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็น การตั้งรัฐบาล 8 พรรค ทำ เอ็มโอยู หนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า พรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี หรือการที่พรรคเพื่อไทยแปลงร่างมารให้เป็นเทพมาจับมืออีกขั้วเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ล้วนเป็นหายนะของประเทศ ดังนั้น ทุกทางเลือกจึงเดินมาถึงทางตัน สิ้นทางสงบสุขเป็นทางออก
ทั้งนี้ นายจตุพร กล่าวว่า ข้อตกลงร่วม หรือเอ็มโอยู (MOU) การจัดตั้งรัฐบาลผสมของ 8 พรรคการเมืองนั้น ดูเหมือนพรรคก้าวไกลที่เป็นแกนนำ ยอมถอยสุดซอย โดยไม่บรรจุประเด็นการแก้ไข ม.112 การออกกฎหมายนิรโทษกรรม สุราก้าวหน้า และการสมรสเท่าเทียม อยู่ในเอ็มโอยูด้วย เพื่อลดแรงเสียดทานขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
นอกจากนี้ นายจตุพรยังมองว่า การกำหนดเวลาประกาศเอ็มโอยู ให้ตรงกับวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ประกอบกับการเกิดปรากฏการณ์ข่าวลือการนัดพบที่ฮ่องกง และหนึ่งในพรรคร่วม 8 พรรคไปพบกับ “คณะ 3 ป.” คนหนึ่งที่กัมพูชา ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นความพยายามแปลงร่างเทพให้เป็นมาร หรือมารกลายร่างเป็นเทพ ซึ่งเป็น “ละครอีกฉาก” แสดงหลอกขย่มพรรคก้าวไกล
นายจตุพร มั่นใจว่า ในการโหวตลงคะแนนรับรองนายกรัฐมนตรีนั้น ทางสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีแนวโน้มงดออกเสียงจำนวนมาก ดังนั้น นายพิธาคงได้คะแนนโหวตให้ไม่ถึง 376 เสียงจากทั้งหมด 750 คนของการประชุมร่วมรัฐสภา ไม่เพียงเท่านั้น เขาคาดว่า ถัดจากนี้ไป ส.ว. จะแสดงละครโดยการกำกับโหวตให้นายพิธา เป็นนายกฯ ทยอยออกมาเป็นลำดับ แต่สุดท้ายก็จะถูกควบคุมจำนวนตัวเลขไม่ให้ถึง 376 เสียงที่ต้องการอยู่ดี
ด้วยเหตุแห่งเกมและการแสดงละครการเมืองของทุกฝ่ายนั้น นายจตุพรประเมินถึงชะตากรรมของนายพิธาว่า ถึงอย่างไรก็คงจะไปไม่ถึงฝั่งฝันการเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ ส.ว.บางส่วน ก็ลวงทิศ โดยจะออกมาให้ข่าวราวกับหยอดน้ำข้าวต้มโหวตให้นายพิธา เพื่อเป็นการสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ตามบทละครที่ผู้สั่งการคอยกำหนดบทให้เล่น
“วิกฤตศรัทธา” เมื่อ “ก้าวไกล” ต้องถอยไกลสุดซอย
นายจตุพร เชื่อว่า ทั้งข่าวการเจรจาตั้งรัฐบาลระหว่างเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยที่ฮ่องกง แม้ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะออกมาปฏิเสธอย่างร้อนรน แต่ปรากฎการณ์นี้พรรคก้าวไกลย่อมรู้เช่นกันว่า กำลังจะถูกอะไรย้อนรอยมาหลอนชิงการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้ง 3 ป.คนหนึ่งไปกัมพูชา พร้อมมีพรรคการเมืองหนึ่งไปคุยกันที่นั่น ล้วนเป็นการปั่นความหวาดระแวงให้พรรคก้าวไกลหวั่นไหวทั้งสิ้น
รวมทั้งปรากฎการณ์เหล่านั้น คงมีส่วนให้พรรคก้าวไกลรอมชอมลดเงื่อนไขเอ็มโอยูลง ดังนั้น วิกฤตศรัทธาจะเกิดกับพรรคก้าวไกล เพราะการแถลงเอ็มโอยูที่กำลัง “ถอยสุดซอย” เท่ากับเป็นการสละทิ้งอุดมการณ์เพื่อแลกกับอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการแลกเพื่อทำลายตัวเอง แล้วที่สำคัญคือ เชื่อว่ายังจะไม่ได้เป็นนายกฯ อีกด้วย
"ถ้าใครคิดว่า พรรคก้าวไกลแลกอุดมการณ์ของตัวเองแล้ว นายพิธายังจะได้เป็นนายกฯ ต้องไปเรียนหนังสือชั้นอนุบาลหรือ ป.1 เรื่องการนับตัวเลขกันใหม่ในการบวกลบ คูณหาร เพราะเสียงโหวตนายกฯ จะไม่ถึง 376 เสียงค่อนข้างชัดเจน” นายจตุพรกล่าวราวกำลังมองลูกแก้วพยากรณ์
สำหรับประเด็นพรรคเพื่อไทยที่ได้คะแนนเลือกตั้งมาเป็นอันดับสอง ได้ยื่นไม้ตายในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายจตุพรกล่าวว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะรู้นายพิธาเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียวของพรรคก้าวไกล และยังมีการตรวจสอบการถือหุ้นสื่อมวลชนด้วย ซึ่งส่อรอดจากคุณสมบัติขัดกับการลงสมัคร ส.ส.ได้ยาก ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงมองไกลไปว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ จะอยู่ในมือของพรรค และแคนดิเดตนายกฯ ก็จะอยู่ในมือด้วย และเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะเกิดความพินาศย่อยยับ
ถ้าสมการไปตามข่าวลือแล้ว พรรคก้าวไกลอาจถูกทิ้งให้เป็นฝ่ายค้าน แล้วที่เหลือจะไปจับมือจัดดุลอำนาจตั้งรัฐบาลกันใหม่ ใครคิดว่าบ้านเมืองจะจัดกันอย่างง่ายดายนั้นจะไม่ง่ายตามที่คิดเลย เพราะความรู้สึกที่สั่งสมกันมาจะรอวันระเบิดขึ้น ยิ่งเมื่อจะมีชุมนุมกันในวันอังคาร (23 พ.ค.) เพื่อกดดัน ส.ว. ก็อาจมี ส.ว.พูดเอาใจโหวตให้นายพิธา แต่รวมความแล้วจะไม่ถึง 376 เสียงอยู่ดี
นายจตุพรกล่าวต่อไปว่า ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นคือ ถ้าเกิดเหตุการณ์ตั้งรัฐบาลแข่งกันแล้ว พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย จะมองหน้ากันไม่ติด มวลชนจะมีปัญหาตามมา ส่วน ส.ว.จะแสดงบทบาทความรู้สึกเอาใจรัฐบาล นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะลงดาบฟันพรรคการเมืองด้วยการยุบพรรค การรับรอง ส.ส. พร้อมสอยไปด้วย
มาถึงจุดนี้ นายจตุพรขอให้จับตา กกต. กรณีชี้ขาดข้อหาการถือหุ้นสื่อมวลชนของนายพิธา เชื่อว่าเรื่องนี้อาจกดดันให้นายพิธาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ แล้วจากนั้นก็ตามด้วยการยุบพรรค ดังนั้น การเมืองจะไม่มีความสมหวัง แต่จะมีคำตอบสุดท้ายคือเลือด ที่ไม่ต้องการให้เกิดการนองพื้นกันอีกแล้ว
"เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งต้องยอมรับความจริงว่า 8 พรรคจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้าไม่ยอมรับความจริงนี้แล้ว จะไปต่อยากมาก แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลโดยการย้ายขั้วเปลี่ยนข้างจาก 8 พรรค แต่ก็จะพังพินาศกันไปหมด"
หนทางตีบตัน มองไม่เห็นฝั่งฝัน
นายจตุพร กล่าวว่า มีการเสนอแนวทางว่า ให้ยื้อเวลาให้ ส.ว.หมดวาระ แต่ยังมี กกต.กับศาลรัฐธรรมนูญ คอยเป็นกับดักขวางทางการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ จึงยากที่จะให้การยื้อถ่วงเวลา ส.ว.หมดวาระลงได้ นอกจากนี้การเสนอให้พลังมวลชนกดดันลงถนนคงมีแต่ความฮึกเหิม แต่จะถูกการตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้งขึ้น เพื่อเป็นการทำลายความชอบธรรมให้พังกันไปเป็นทิวแถวอีกเหมือนเดิม
"ความจริงบทเรียนนี้อธิบายกันหลายอย่างแต่ทุกคนไม่สนใจ ถ้าเอาประเทศไทยมาก่อนก็ไปได้ แต่กลับเอาตัวเองมาก่อนประเทศไทย เมื่อต้องการเลือกนับหนึ่งของตัวเอง ดังนั้น เรียกร้องให้เสียสละจะเป็นเรื่องยากมาก เพราะทุกคนเห็นแก่ตัวเองทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ในโลกความเป็นจริงไปไม่ถึง 376 เสียง และนายพิธา จะเจอข้อหาคุณสมบัติ แล้วคดีการยุบพรรคจะตามมาอีก”
นายจตุพร เชื่อว่า สถานการณ์ขณะนี้เข้าสู่ทางตันแล้ว แม้ยังมีการเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่ เพราะยังเป็นช่วงเวลา 2 เดือนที่ กกต.จะทำหน้าที่รับรอง ส.ส. ขณะเดียวกัน หากเกิดการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยขึ้นมา ยิ่งจะเกิดหายนะอย่างแรง การย้ายขั้วไปจับมือกับซีกรัฐบาลเดิมก็พังเหมือนกัน ถ้าพรรคเพื่อไทยไปด้วยการแปลงร่างจากการยุบตัวเอง โยกเข้ามาก็ได้ แบบไหนก็พินาศเหมือนกัน
"ส.ว.คนหนึ่งบอกจะยกมือให้นายพิธาเท่านั้น มันไม่มีเหตุผล เพราะเขามีจุดยืนอยู่อีกซีกชัดเจน และลูกก็ลง ส.ส.อีกพรรคหนึ่งด้วย สิ่งนี้เป็นคำพูดอาบยาพิษ เพราะรู้ปลายทางว่านายพิธาไปไม่ถึงนายกฯ แล้ว เพราะเห็นข้อมูลหมด จึงพูดออกมาแบบน้ำกรดแช่เย็น อีกฝ่ายก็ขอบคุณตอบรับทันที"
นายจตุพรย้ำว่า นายพิธาจะไม่มีวันได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ และพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ย้ายขั้วไปก่อน ถึงที่สุดต้องดูปรากฎการณ์ปลายเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม ถ้าพรรคหนึ่งใน 8 พรรคกำลังไปดีลตั้งรัฐบาลกับอีกขั้วหนึ่งนั้น ทั้งปรากฎการณ์ฮ่องกงหรือหารือที่กัมพูชา ล้วนเป็นสิ่งทำให้เกิดความหวาดระแวงในฝ่ายพรรคประชาธิปไตยเดียวกัน และการรวมตัวกัน 313 เสียงห่างไกลกับ 376 เท่าไร ดังนั้น การทำท่าจับมือกัน เป็นเพียงละครแสดงบทร่วมกันไปก่อนเท่านั้น
"เมื่อเหตุผลให้พรรคก้าวไกลเข้าสู่อำนาจได้ แต่ยอมสละแนวทาง อุดมคติ อุดมการณ์ของตัวเองที่ได้ประกาศจนได้รับเลือกตั้ง หากนายพิธา เป็นนายกฯ แล้วเสนอแก้ ม.112 หรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมแล้ว พรรคก้าวไกลก็ต้องลงนามด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นความหวาดระแวงของกลุ่ม ส.ว.ที่ตั้งแรงค้านอยู่ดี”