ความคืบหน้ากรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถูกที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ประกอบมาตรา 101 (6) หรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น รวมทั้งมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
สำหรับในวันนี้ 13 กรกฎาคม 2566 มีประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หากพรรคร่วมรัฐบาลเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ขั้นตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี กรณีผ่าน
โหวตเลื่อนนายกรัฐมนตรีกรณีไม่ผ่าน
รัฐบาลใหม่ 8 พรรคการเมือง 312 เสียง
รัฐธรรมนูญให้อำนาจ ส.ส.เลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องใช้เสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร หรือ 251 เสียง แต่ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ กำหนดว่า ใน 5 ปีแรกของรัฐสภาใหม่ให้ ส.ว. ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีกับ ส.ส. โดยรัฐสภาประกอบด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน รวมเป็น 750 คน ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐสภาหรือ 376 เสียง
การลาออกของ น.ส.เรณู ส่งผลให้มี ส.ว.เพียง 249 คน และสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดเหลือเพียง 749 คน ทำให้จำนวนการโหวตนายกรัฐมนตรีที่ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งอยู่ที่ 375 คน
ล่าสุด สำหรับการลงมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คะแนนไม่ถึง 375 กึ่งของสมาชิกที่มีอยู่ 749 เสียง ทำให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30