ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ส.ส. + ส.ว. ใช้เวลาตั้งแต่เวลา 09.30 น. ถึง 17.00 น. หรือนานกว่า 8 ชั่วโมงครึ่ง ในการถกเถียงเพียงประเด็นเดียวว่า "เสนอชื่อพิธา" เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำอีกรอบได้หรือไม่
ฐานเศรษฐกิจ จะพาย้อนไปดูบรรยากาศการประชุมร่วมรัฐสภาตลอดทั้งวันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนมีมติเสียงข้างมากตีตกชื่อของนายพิธา หลังจากนายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะ 8 พรรครวมจัดตั้งรัฐบาล ได้เสนอชื่อนายพิธา ให้ที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกเป็นครั้งที่ 2 เพียงรายชื่อเดียว โดยไม่มีพรรคการเมืองอื่นเสนอบุคคลอื่นชื่อท้าชิง
โดยการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา ได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันในการอภิปรายประเด็นปัญหาดังกล่าว กว่า 8 ชั่วโมงครึ่ง นั้น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา ได้อภิปรายไปในทิศทางเดียวกันว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาพิจารณาเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นญัตติ
ซึ่งหากญัตติใดรัฐสภาตีตกไปแล้ว จะไม่สามารถพิจารณาได้ใหม่ภายในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ประธานรัฐสภา จะเห็นว่า มีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป จึงจะสามารถอนุญาตให้นำมาพิจารณาใหม่ได แต่การพิจารณา ให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นญัตติที่รัฐสภา เคยตีตกไปแล้ว เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังไม่เห็นว่า จะมีสถานการณ์เปลี่ยนไป ที่จะทำให้รัฐสภานำชื่อนายพิธา กลับมาพิจารณาซ้ำ ทั้งยังเป็นการเสนอชื่อบุคคลเดิม และไม่ได้มีสัญญาณว่า พรรคก้าวไกล จะยอมถอยนโยบายการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ดังกล่าว ดังนั้น สถานการณ์จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่ ความเห็นของ ส.ส. 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลตามเอ็มโอยู อภิปรายสอดคล้องกันโดยไม่เห็นด้วย กับการตีความขั้นตอนการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรีว่าเป็นญัตติ เพราะเป็นการตีความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจะกระทบต่อหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ เพราะการเสนอชื่อบุคคล และญัตติ มีความหมายต่างกัน
รวมถึงหากจะไม่ให้มีการเสนอชื่อบุคคลซ้ำ กฎหมายก็จะบัญญัติไว้ห้ามอย่างชัดเจน เช่น การสรรหากรรมการองค์กรอิสระ และการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติถึงขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี
และสอดคล้องกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ในหมวด 9 ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งแยกหมวดไว้เป็นกาลเฉพาะอย่างชัดเจน และโดยหลักทั่วไปของกฎหมาย เมื่อกำหนดหมวดไว้เฉพาะแล้ว จะนำบททั่วไปอื่น ๆ มาผสมบังคับใช้ไม่ได้
ดังนั้น การหยิบยกข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 มาตีความการเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นญัตติ ที่ถูกตีตกไปแล้ว ไม่สามารถเสนอซ้ำได้ จึงเป็นการตีความกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง
พร้อมเตือนไปยัง ส.ส. และ ส.ว.ว่า การตีความที่ผิดเพี้ยน จะเป็นบรรทัดฐานที่จะกลับมาสร้างความยากลำบากให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ หรือบุคคลอื่น ๆ ในกรณีอื่น ๆ ที่จะสร้างความยุ่งยาก และความเสียหายให้สถาบันอื่น ๆ ของบ้านเมือง และยังมีโอกาสทำให้ประเทศเดินหน้าสู่ทางตันทางการเมืองได้
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลการลงมติ 394 ที่คัดค้านไม่ให้รัฐสภาพิจารณาชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกในสมัยประชุมนี้ ประกอบไปด้วยสมาชิกวุฒิสภา และพรรคร่วมรัฐบาลชุดรักษาการปัจจุบัน
ขณะเดียวกันผลการลงมติที่สนับสนุนให้พิจารณานายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ในสมัยประชุมนี้ ประกอบไปด้วย ส.ส. จาก 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล
ที่ผลสุดท้ายเป็นการปิดเส้นทางนายกฯพิธา เป็นที่แน่นอนแล้ว ต้องรอลุ้นว่าการประชุมครั้งต่อไปจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยคนใดขึ้นมาเป็นนายกฯ