เกมส์การเมืองร้อนฉ่า แฉกันยับอัดกันทุกรูปแบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นร้อนของ "เศรษฐา ทวีสิน" แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และเตรียมเสนอชื่อเพื่อโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีต่อสมาชิกรัฐสภา กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง
หลังจากที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกล่าวหาว่า นายเศรษฐา มีพฤติการณ์ทำนิติกรรมอำพราง เลี่ยงภาษีในการซื้อขาย โอนที่ดิน สมัยเป็นผู้บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐสูญรายได้มากกว่า 500 ล้านบาท โดยบริษัทแสนสิริได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันว่า การซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวนั้น ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นไปตามธรรมาภิบาล
ด้านนายเศรษฐาซึ่งตกเป็นเป้าได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรงก็ไม่อาจนิ่งเฉย ได้มอบหมายให้ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความยื่นฟ้องดำเนินคดีกับ ชูวิทย์ ที่ศาลอาญา รัชดา ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า นายเศรษฐามีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษีการซื้อขายที่ดินของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
สำหรับเรื่องนี้ นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ดีเอ็นเอ จำกัด ได้อธิบายวิเคราะห์ประเด็นของการโอนกรรมสิทธิ์ของที่ดินผืนดังกล่าวที่มีการพูดถึงในขณะนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวมีชื่อของผู้ถือกรรมสิทธิ์ทั้งหมด 12 คน การซื้อขายของที่ดินแปลงนี้ระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์ทั้ง 12 คน และทางผู้ซื้อ คือ แสนสิริ มีการโอนกรรมสิทธิ์วันละ 1 คน โดยโอนกรรมสิทธิ์ตามสัดส่วนการถือครองของแต่ละคนที่มีสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ ดังนั้น จึงใช้เวลาในการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด 12 วัน
การโอนกรรมสิทธิ์ลักษณะนี้ จะเสียค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ 3 อย่าง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งรวมแล้วทั้ง 12 คน เสียค่าใช้จ่ายรวมกันประมาณ 59.2 ล้านบาท
ขณะที่ ถ้าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์แบบทั่วไป หรือแบบคนที่ไม่เข้าใจบริบทของกฎหมายหรือเรื่องของการเสียภาษีและการทำนิติกรรมต่าง ๆ อาจจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 35% เพราะจะเข้าเงื่อนไขว่า
เป็นคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ต้องจดทะเบียน ซึ่งจะต้องจ่ายภาษีให้กรมที่ดิน 59 ล้านบาท และต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับกรมสรรพากรในอัตราก้าวหน้าอีก 35% ของมูลค่าทั้งหมด หรือ ประมาณ 521 ล้านบาท เมื่อรวมทั้ง 2 ส่วนจะต้องเสียภาษีรวม ประมาณ 580 ล้านบาท มากกว่าการโอนกรรมสิทธิ์แบบรายคน
สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าว มีชื่อผู้เป็นเจ้าของทั้งหมด 12 คนในโฉนดเดียวกันและกระบวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ ใช้วิธีการโอนแบ่งเป็น 12 วัน จากผู้ขายทั้งหมด 12 คน หรือโอนวันละ 1 คนจนครบ ทำให้เสียภาษีให้กับกรมที่ดินเพียง 59 ล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ หากผู้ขายทั้ง 12 คน โอนที่ดินให้กับผู้ซื้อในวันเดียวกันจะทำให้เข้าเงื่อนไข เป็นคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ต้องจดทะเบียน ซึ่งจะต้องจ่ายภาษีให้กรมที่ดิน 59 ล้านบาท และกรมสรรพากรในอัตราก้าวหน้า 35% อีก 521 ล้านบาท รวมภาษีทั้งหมดที่ต้องจ่าย 580 ล้านบาท
"การโอนกรรมสิทธิ์แบบรายคนวันละคนทำให้เสียภาษีน้อยลงไปกว่า 521 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้เป็นการเลี่ยงภาษี หรือการทำนิติกรรมผิดกฎหมาย เพียงแต่เป็นการกระทำของคนที่รู้และเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ รวมไปถึงเข้าใจในกฎหมายเป็นอย่างดี และเป็นเรื่องที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายยอมรับได้
รวมไปถึงทางเจ้าหน้าที่ที่กรมที่ดินไม่สามารถที่จะเอาผิดหรือขัดขวางได้เลย เนื่องจากไม่มีอะไรที่ขัดต่อกฎหมาย เพียงแต่การกระทำแบบนี้ในมุมของเรื่องความถูกต้องหรือศีลธรรมก็อาจจะอ่อนไหว หรือกลายเป็นเรื่องให้เกิดการถกเถียงกันได้ เพราะชาวบ้านทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีทีมที่ปรึกษาที่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้คงไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้" นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป
ส่วนที่ดินเจ้าปัญหาซึ่งเป็นต้นตอของเรื่องนี้นั้น เป็นที่ตั้งอาคารสำนักงาน "MBK Life" ของบริษัท เอ็ม บี เค ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น อาคารฮักส์ (HUGS Building)
มีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ ตั้งอยู่หัวมุม ถนนสารสิน - หลังสวน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน นับเป็นทำเลทองฝังเพชรเลยทีเดียวเพราะนอกจากจะเป็นไข่แดงอยู่ตรงสวนลุมพินีที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างมาบดบังทัศนียภาพแล้ว ยังเป็นที่ดินเพียงผืนเดียวที่เหลืออยู่ย่านใจกลางเมืองอีกด้วย โดยทำสถิติราคาซื้อขายได้แพงที่สุดในประเทศไทย อยู่ที่ตารางวาละ 3.93 ล้านบาทต่อตารางวา เมื่อเดือนเมษายน 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 อย่างรุนแรงในบ้านเรา
สำหรับที่ดินแปลงนี้ค่ายแสนสิริ ตั้งเป้าจะพัฒนาให้ "อาคารฮักส์" เป็น "ชูเปอร์ แฟลกชิป" ของบริษัทโดยพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมกลุ่มลักชัวรี และ อัลตร้าลักชัวรี เหมือนกับโครงการ "98 Wireless" บนถนนวิทยุที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยปัจจุบันขายได้ที่ราคาตารางเมตรละ 1 ล้านบาท
ส่วนข้อกล่าวหาถึงสาเหตุของการซื้อที่ดินผืนดังกล่าวในราคาที่สูงเกือบ 4 ล้านบาทต่อตารางวานั้น ประเมินกันว่า มาจาก 3 ปัจจัย ดังนี้
1.เป็นราคาที่ดินบวกกับสิ่งปลูกสร้างที่มีความสูง 12 ชั้น
2.ที่ดินฟรีโฮลด์ (ซื้อขายขาดหายาก)
3.ซื้อที่ดินติดสวนลุมพินี(แถมวิวสวน) ซึ่งหาได้ยากยิ่ง