จากการที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินหน้าเปิดปฏิบัติการกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยได้รับการเสนอชื่อโหวตเลือกในสภาผู้แทนราษฎร ว่าเมื่อครั้งนายเศรษฐา เป็นซีอีโอของบริษัทแสนสิริจำกัด (มหาชน) ได้มีพฤติกรรมเข้าข่ายลักษณะ “นิติกรรมอำพราง” หลบเลี่ยงภาษีทำให้รัฐสูญรายได้มากถึงกว่า500ล้านบาท
ล่าสุด นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายชูวิทย์กล่าวถึงข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ข้อกล่าวหาไม่มีมูล พร้อมระบุว่า นายเศรษฐาไม่ได้สมรู้ร่วมคิด หรือเป็นตัวการหรือสนับสนุนให้มีการเลี่ยงภาษีใดๆ
เนื่องจาก บริษัทแสนสิริเป็นผู้ซื้อที่ดิน หน้าที่ในการชำระภาษีจากค่าที่ดินที่ผู้ขายได้รับเป็นหน้าที่ของผู้ขาย ส่วนผู้ซื้อมีหน้าที่ไปรับโอน และชำระเงินค่าที่ดินเท่านั้นเอง การโอนที่ดินให้แสนสิริก็เป็นการซื้อขายที่ดินปกติที่ทำกันเปิดเผย ตรงไปตรงมาที่กรมที่ดิน มีการบันทึกการซื้อขาย เสียภาษีที่กรมที่ดิน
นายนพดล กล่าวถึง ส่วนที่กล่าวหาว่านายเศรษฐาไปเกี่ยวข้องในการเลี่ยงภาษีโดยอ้างรายงานการประชุมว่า ข้อเท็จจริงคือนายเศรษฐา เข้าประชุมรับทราบการที่แสนสิริจะไปซื้อที่ดินแปลงนี้ โดยเป็นการประชุมครั้งเดียวในการอนุมัติเงินในการซื้อ เพราะฉะนั้นนายเศรษฐาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องการโอนที่ดินหรือการดำเนินการใดๆของฝ่ายผู้ขายเลย
พร้อมระบุ ตนไม่เห็นว่าจะมีนิติกรรมอำพรางตรงไหน เพราะไม่มีนิติกรรมอันหนึ่งซ้อนอำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่ง ถ้ามีใครรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ ก็สามารถเปิดเผยตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะต้องกำความลับหรืออะไรไว้ แล้วมาเปิดเผยช่วงนี้ที่พรรคเพื่อไทยกำลังจะเสนอนายเศรษฐาขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเป็นนายกรัฐมนตรี
นายนพดล กล่าวว่า การโจมตีนายเศรษฐาในช่วงเวลานี้ มองเป็นเรื่องอย่างอื่นยาก นอกจากเรื่องการเมือง แต่ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลคงไม่กระทบการเดินหน้าเสนอชื่อเสนอนายเศรษฐาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา นายเศรษฐาเป็นบุคคลสาธารณะ พร้อมถูกตรวจสอบ และหากต้องการตรวจสอบว่าผู้ขายเลี่ยงภาษีให้ไปถามกรมสรรพากรได้เลย ทำความจริงให้ปรากฏ ยิ่งเร็วยิ่งดี
ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ได้ตั้งประเด็นในการแถลงข่าว “แฉเพื่อชาติ” EP.1 ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการโอนที่ดิน “12 คน โอน 12 วัน” อ้างว่า มีการโอนกรรมสิทธิ์ในโฉนดหมายเลขเดียวกัน คือ โฉนดเลขที่ 16515 เป็นโฉนดแปลงเดียว
ตั้งอยู่ในถนนสารสิน ทั้งหมด 399.7ตารางวา มูลค่ากว่า 1,570 ล้านบาท ซึ่งเห็นว่า เป็นตารางวาแพงที่สุดในประเทศไทย คือตารางวาละ 4 ล้านบาท หรือ เท่ากับบ้าน 2 ชั้น 1 หลัง และตั้งข้อสังเกตว่า อาจเข้าข่ายนิติกรรมอำพราง
เนื่องจาก หากโอนกรรมสิทธิ์ให้บุคคลรวม 12 คนใน 1 วัน จะทำให้เข้าเงื่อนไข เป็นคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน จะต้องจ่ายภาษีให้กรมที่ดิน 59.2 ล้านบาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภงด.90 อัตราก้าวหน้า 35% ต่อสรรพากร คิดเป็นมูลค่า 521 ล้านบาท รวมภาษีทั้งหมด 580 ล้านบาท
แต่บุคคลรวม 12 คน กับแยกการโอน 12 วัน ติดต่อกัน คือ 1 วัน 1 คน สัปดาห์ละ 5 วัน ก็ไม่เข้าเงื่อนไขเป็นคณะบุคคล จ่ายภาษีเพียงแค่ 59.2 ล้านบาทเท่านั้น อาจเข้าข่ายว่าเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีมูลค่า 521 ล้านบาท