องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ไวรัสโควิดสายพันธ์เดลตา หรือที่รู้จักกันในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.617.2 ได้แพร่กระจายจากประเทศที่ตรวจพบครั้งแรก คือ อินเดีย ไปยังประเทศต่าง ๆทั่วโลก มากกว่า 60 ประเทศแล้ว ซึ่งรวมถึง สหรัฐอเมริกา
นายแพทย์ สก็อตต์ ก็อตลี้บ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(FDA) กล่าวว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตามีแนวโน้มจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐ และอาจนำไปสู่การระบาดระลอกใหม่ในฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง โดยชาวอเมริกันที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมีความเสี่ยงมากที่สุด
ก็อตลี้บให้สัมภาษณ์ในรายการ Face the Nation ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสในช่วงสุดสัปดาห์ (13 มิ.ย.) ว่า ขณะนี้การติดเชื้อไวรัสโควิดเดลตาในสหรัฐอยู่ที่ราว 10% และเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุกสองสัปดาห์ "นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะเห็นการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หมายความว่าเจ้าไวรัสสายพันธุ์นี้กำลังจะเข้าครอบงำเรา และอาจเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้"
ทั้งนี้ ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา หรือ B.1.617.2 ที่ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย เป็นหนึ่งในไวรัสโควิด 3 สายพันธุ์ที่มีความเกี่ยวโยงกัน และกลายมาเป็นสายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า “สร้างความกังวล” เพราะมีการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมหลายเท่า เช่นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อัลฟา หรือ B.1.1.7 ที่พบครั้งแรกในอังกฤษ จะพบว่าสายพันธุ์เดลตาสามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าประมาณ 60%
ผลการศึกษาเบื้องต้นของสกอตแลนด์ที่เผยแพร่ในวารสารเดอะ แลนเซตต์ (The Lancet) เมื่อวันจันทร์ (14 มิ.ย.) ชี้ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ B.1.1.7
ทั้งนี้ สายพันธุ์เดลตาเป็น 1 ใน 6 สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกา ที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) กำหนดให้เป็น "สายพันธุ์ที่น่ากังวล" (VoC) คณะผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์เดลตาว่า เนื่องจากเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไวรัสโควิดสายพันธุ์ดังกล่าว ยังครองสัดส่วนผู้ติดเชื้อใหม่เพียง 1% แต่ปัจจุบัน ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าสามารถครองสัดส่วนผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐมากกว่า 6% แล้ว
ข้อมูลอ้างอิง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง